Highlights
- ฟอสซิล (fossils) คือ ซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตโบราณ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือแม้กระทั่งแบคทีเรีย ที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยธรรมชาติ
- ฟอสซิลที่โลกใบนี้ค้นพบประมาณ 99% เป็นสัตว์น้ำ ส่วนฟอสซิลสัตว์บกมักพบในที่ที่เคยเป็นแหล่งน้ำ หรือในที่ที่แห้งจัดจนไม่มีน้ำเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อของพวกมัน
- กระบวนการเกิดฟอสซิลที่พบได้บ่อยสุดเรียกว่า Permineralization เกิดจากซากสิ่งมีชีวิตใต้ดิน มีน้ำและแร่ธาตุซึมเข้าตามช่องว่างของกระดูก และเกิดปฏิกิริยาทางเคมีทำให้กระดูกแข็งเป็นหิน
- นอกจากโครงกระดูกแล้ว ร่องรอยที่สิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ทิ้งไว้ เช่น รอยเท้า อุจจาระ ไข่ ขน หรือคราบถ่านหินที่ทิ้งเอาไว้ ก็เป็นฟอสซิลเช่นกัน

สมบัติล้ำค่าที่หลบเร้นสายตาผู้คน ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นโลกเพื่อรอเพียงวันเวลาที่จะมีนักสำรวจสักคนมาขุดค้นพบ สมบัติที่เหมือนเป็นเสียงเพรียกจากบรรพบุรุษในสมัยโบราณ เชิญชวนให้เราได้ค้นหาเรื่องราวความลับที่ไม่มีใครเคยพบเห็น ผ่านชิ้นส่วนกระดูก เศษซากคาร์บอนที่หลงเหลือ หรือแม้กระทั่งร่องรอยการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตในสมัยโบราณ คือสิ่งที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “ฟอสซิล”
รู้จักสิ่งมีชีวิต จากโบราณกาล
บรรพชีวินวิทยา (Paleontology) คือศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ จากซากและร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่มีอายุมากกว่าหมื่นปี โดยบรรพชีวินวิทยานับว่าเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของวิชาธรณีวิทยา เนื่องจากมีการค้นพบฟอสซิลได้จากการขุดชั้นหินต่าง ๆ ในธรรมชาติ รวมถึงยังใช้ความรู้ในวิชาชีววิทยา ทั้งในการเปรียบเทียบสรีระวิทยาของสิ่งมีชีวิตจากฟอสซิลของพวกมัน และการบันทึกลักษณะสิ่งมีชีวิตเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิวัฒนาการ โดยหน่วยงานหลักที่ศึกษาและรับผิดชอบเรื่องซากดึกดำบรรพ์ในประเทศไทย คือกรมทรัพยากรธรณี
ในหมู่นักบรรพชีวิน เรื่องราวที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ เรื่องหนึ่ง คงหนีไม่พ้นการขุดค้นฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตโบราณ ที่เคยอาศัยและใช้ชีวิตบนโลกใบนี้มาก่อนหน้าพวกเราหลายล้านปี แล้วหลังจากนั้น ฟอสซิลที่ถูกค้นพบก็จะถูกศึกษาถึงลักษณะ รูปร่าง และหน้าตาอย่างละเอียด จนเราได้พบเห็นกับภาพไดโนเสาร์ สิ่งมีชีวิตโบราณที่ไม่มีใครคนไหนมีโอกาสเคยได้เห็นตัวจริง

ที่มา admissionpremium
ฟอสซิล (fossils) คือ ซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตโบราณ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือแม้กระทั่งแบคทีเรีย ที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะถูกเก็บรักษาไว้ในชั้นหินใต้เปลือกโลก ก่อนที่สุดท้ายฟอสซิลจะกลายมาเป็นหลักฐานสำคัญ ที่ทำให้เราได้ศึกษาและทำความเข้าใจถึง หน้าตา ลักษณะนิสัย พฤติกรรม ถิ่นที่อยู่ หรือแม้กระทั่งอาหารที่ชอบกิน เพื่อนำมาประกอบรวมกันเป็นหลักฐานด้านวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในอดีต

ที่มา Robert Sisson
ซากดึกดำบรรพ์
ฟอสซิลประเภทซากของสิ่งมีชีวิตโบราณ ถูกเก็บรักษาไว้ในธรรมชาติได้จากหลากหลายวิธี ทั้งการโดนแช่แข็ง (Frozen) จนทำให้ร่างกายถูกเก็บรักษาไว้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์จากความเย็น กระบวนการการเกิดมัมมี่ (Mummification) ที่เนื้อเยื่ออ่อนบริเวณผิวหนังและอวัยวะภายใน แห้งจนร่างกายไม่สลายหายไป และกระบวนการการเกิดฟอสซิลที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดเรียกว่า กระบวนการแทรกซึมของแร่ธาตุ (Permineralization) ซึ่งเกิดจากซากสิ่งมีชีวิตที่ตายไป ถูกทับถมภายใต้หินตะกอนเป็นเวลานาน หลังจากนั้นน้ำจะซึมเข้าตามช่องว่างของกระดูกสิ่งมีชีวิต โดยน้ำจะนำพาแร่ธาตุต่าง ๆ แทรกซึมเข้าไปด้วย รวมถึงสารละลายซิลิกา (Silica) และสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate) ที่เข้าไปแทนที่สารอินทรีย์ในร่างกาย ซึ่งแร่ธาตุเหล่านี้จะยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทำให้ร่างกายเน่าเปื่อย และยังทำให้กระดูกของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้แข็งเป็นหินอยู่ภายใต้หินตะกอน เฝ้ารอให้ใครสักคนมาค้นพบ
หินเป็นสิ่งที่มีความแข็ง แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะอยู่คงทนได้ตลอดกาล จากปัจจัยในธรรมชาติ ทั้งลมที่ปัดเป่า น้ำที่ไหลเซาะแสงแดดที่ร้อนจัด หรือแรงกระแทกจากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ทำให้หินค่อย ๆ ผุกร่อนกลายเป็นหินก้อนเล็ก ๆ ซึ่งแหล่งที่เก็บรักษาฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตโบราณไว้อย่างหินตะกอน ก็เป็นหินที่เกิดจากการรวมตัวกันของเศษหิน ฝุ่นผง และอนุภาคต่าง ๆ ที่ถูกพัดพามารวมกัน ซึ่งอาจจะรวมถึงซากไร้ชีวิตของสิ่งมีชีวิตโบราณอยู่ในนั้นด้วย เมื่อหินก้อนเล็ก ๆ รวมกันมากขึ้น ทับถมกันหลายชั้น จะเกิดแรงกดดันและปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้มันกลายเป็นหินตะกอนก้อนใหญ่อีกครั้ง หลายล้านปีผ่านไป การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกนั้นก็ทำให้หินเกิดความเปลี่ยนแปลงได้อีกหลายครั้งนับไม่ถ้วน ปรากฎการณ์หนึ่งคือกากรยกตัวของแผ่นดิน ทำให้ฟอสซิลที่ถูกทับถมอยู่ใต้หินก้อนยักษ์ ขึ้นมาอยู่ที่ระดับเดียวกับพื้นดินที่เราอาศัยอยู่ และเมื่อหินตะกอนผุกร่อนอีกครั้ง เราก็จะพบกับฟอสซิลในที่สุด
ฟอสซิลที่โลกใบนี้ค้นพบ ประมาณ 99% เป็นสัตว์น้ำ เพราะแหล่งน้ำคือสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การเก็บรักษาซากสิ่งมีชีวิต เมื่อสัตว์น้ำตายลงจะจมสู่พื้นทะเลซึ่งเป็นดินโคลน และมันจะถูกทับถมอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นฟอสซิลในเวลาต่อมา ส่วนฟอสซิลของสัตว์บกที่เราพบเห็นกัน อาจตายใกล้กับแหล่งน้ำที่มีดินโคลนช่วยรักษาสภาพโครงกระดูกของสัตว์เหล่านี้ไว้ หรืออาจจะอยู่ห่างไกลแหล่งน้ำแต่เจอกับพายุทรายที่ปกคลุมร่างเอาไว้พอดี ถึงอย่างไรสุดท้ายโครงกระดูกที่ถูกเก็บรักษาอย่างดีในธรรมชาติก็คงอยู่มาจนถึงคราวที่นักบรรพชีวินวิทยาได้มาค้นพบจนได้

ที่มา Hel Mort และ Raul Martin
ร่องรอยดึกดำบรรพ์
ฟอสซิลอีกประเภทหนึ่ง คือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตโบราณ ที่ทำให้เราได้ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะร่างกาย อาหารการกิน แหล่งที่อยู่ รวมถึงพฤติกรรมที่เราไม่อาจพบได้ของพวกม้น โดยฟอสซิลประเภทนี้เราอาจจะไม่ได้พบเจอกับชิ้นส่วนร่างกาย แต่ก็เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ทิ้งไว้ให้เราได้ศึกษา เช่น รอยเท้า อุจจาระ ไข่ คราบถ่านหินที่ทิ้งเอาไว้ หรือแม้กระทั่งขนของพวกมัน
รอยเท้าไดโนเสาร์เป็นร่องรอยสำคัญที่ทำให้เรารู้ถึงแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตโบราณ รวมถึงยังทำให้เราเข้าใจรูปร่างหน้าตาของพวกมันมากขึ้น จากขนาดและรูปร่างของรอยเท้าที่พบเจอได้ในธรรมชาติ ทำให้เรารู้ว่ามันเดินกี่เท้า มันตัวใหญ่ไหม มันเดินทางกันเป็นฝูงหรืออยู่กันแบบโดดเดี่ยว นี่แค่รอยเท้านะ ลองคิดดูว่ารอยเท้าของคนเราที่เหยียบไปบนดินโคลนหน้าบ้าน และถูกพบโดยนักวิทยาศาสตร์ในอีก 500 ล้านปีข้างหน้า เขาสามารถรู้ได้ว่าเราใส่รองเท้ายี่่ห้ออะไร ขนาดเท่าไหร่ และเดินมากับใคร

ที่มา Thailand Tourism Directory
อุจจาระของไดโนเสาร์ก็สำคัญไม่แพ้กันในแง่ของการศึกษา เพราะฟอสซิลอุจจาระของไดโนเสาร์สามารถบ่งบอกได้ถึงอาหารการกินของสัตว์โลกล้านปีที่แล้ว ว่ามันชอบกินอะไร รับสารอาหารอะไรจากสิ่งที่มันกิน รวมถึงอาหารแบบไหนที่ทำให้พวกมันป่วย
กระบวนการเกิดถ่านหินที่เรียกว่า Carbonization เปลี่ยนเนื้อเยื่ออ่อนของร่างกายสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นถ่านหิน ซึ่งถ่านหินที่เราเรียกกันว่าเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นก็ได้มาจากซากพืชซากสัตว์จำนวนมากที่ย่อยสลายผ่านกระบวนการแปลงเป็นถ่านหินดังกล่าวนั่นเอง แต่หลายครั้งที่กระบวนการดังกล่าวเปลี่ยนชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตเป็นถ่านหินโดยคงไว้ซึ่งรูปร่างที่เราสามารถนำมาศึกษาต่อได้ ทำให้เรารู้ว่าสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์มีหน้าตาคร่าว ๆ แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตในยุคนี้อย่างไร

ที่มา Kevmin
อีกกระบวนการหนึ่งที่พิเศษมาก ๆ ในการเก็บรักษาซากดึกดำบรรพ์ เกิดจากยางไม้ที่อาจจะไหลมาจับกับแมลง ทำให้แมลงขยับไปไหนไม่ได้และตายในที่สุด หลังจากนั้นยางไม้จะกลายเป็นอำพันและเก็บรักษาสภาพร่างกายแมลงตัวนั้นอย่างสมบูรณ์ คล้ายกับต้นกำเนิดยีนไดโนเสาร์จากภาพยนตร์ Jurassic Park ภาคแรกที่ยุงดูดเลือดไดโนเสาร์มาและโชคร้ายต้องติดอยู่ในอำพันหลายล้านปี ซึ่งส่วนใหญ่ซากดึกดำบรรพ์ในอำพันมักจะเป็นแมลง แต่นักบรรพชีวินวิทยาก็พบชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตตัวโต ๆ เหมือนกัน เช่น หางที่มีขนปุกปุยของไดโนเสาร์

ที่มา abcnews
ถ้าเจอฟอสซิลไดโนเสาร์ต้องทำยังไง?
ในประเทศไทยมีการพบเจอหลักฐานการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์อยู่เรื่อย ๆ อย่างล่าสุดคือการค้นพบฟอสซิลของสัตว์น้ำโบราณอย่างแอมโมไนต์ ญาติที่สูญพันธุ์ไปแล้วของพวกหอยงวงช้าง บริเวณศูนย์การค้าย่านสยามสแควร์ โดยที่ผู้รับผิดชอบเรื่องซากดึกดำบรรพ์ในประเทศไทยอย่างกรมทรัพยากรธรณีก็ออกมายืนยันว่า แอมโมไนต์ที่มีการค้นพบกลางสยามนั้นเป็นของจริง คาดว่าสาเหตุที่พบฟอสซิลแอมโมไนต์ เพราะบริเวณทางเดินที่ทำใหม่ในย่านสยามสแควร์นั้นอาจใช้หินทรายซึ่งได้มาจากแหล่งหินในแอฟริกา ซึ่งมีฟอสซิลปะปนมาได้อยู่บ่อย ๆ

ที่มา Bangkok Post
แล้วถ้าเกิดเป็นเราเองที่ไปพบฟอสซิลเข้า เราจะโพสต์ลงเฟซบุ๊ก แจ้งตำรวจ หรือโทรหากรมทรัพยากรธรณีดี? ทางที่ถูกต้องที่กรมทรัพยากรธรณีแนะนำมาก็คือ เมื่อพบวัตถุน่าสงสัยให้ไปแจ้งกับเจ้าพนักงานท้องถิ่นอย่าง นายก อบต. หรือนายกเทศมนตรี ภายใน 7 วันหลังจากที่พบ พร้อมแนบเอกสารแจ้งพบสิ่งอันมีเหตุควรเชื่อได้ว่าเป็นซากดึกดําบรรพ์ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น เมื่อแจ้งเสร็จก็จะเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะทำเรื่องส่งต่อไปถึงกรมทรัพยากรธรณีเอง
ก็หวังว่าจะมีสักวันที่คุณคนใดคนหนึ่งได้พบกับ “ฟอสซิล” สมบติล้ำค่าใต้พื้นดิน ที่บอกเล่าประวัติศาสตร์อันยาวนานของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ และเมื่อถึงวันนั้นก็แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องด้วยนะ เราจะได้มีเรื่องมาเขียนเล่าเรื่องราวสนุก ๆ ของบรรพชีวินวิทยากันต่อไป
อ้างอิง
ซากดึกดำบรรพ์ หรือฟอสซิล (Fossil)
Fossils 101 | National Geographic
How do dinosaur fossils form? | Natural History Museum
Fossils for Kids | Learn all about how fossils are formed, the types of fossils and more!
ชาวกรุงฮือฮา! สาวพบฟอสซิลกลางสยาม อ.เจษฎา ยันเป็นของจริง
Department confirms ammonite fossils found at Bangkok mall are real