พวกเราคุ้นชินกับแนวทางของนิยายและภาพยนตร์หลายแบบมาก ทั้งโรแมนติก คอเมดี้ แอคชั่น ดราม่า แฟนตาซี และไซไฟ ล้วนเป็นแนวทางที่ขายดีในหมู่นักเล่าเรื่อง ซึ่งถ้ามาโฟกัสที่แนวไซไฟ ซึ่งค่อนข้างเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์แล้ว จะเห็นว่าเนื้อหาที่พบจะค่อนข้างผสมผสานระหว่างความสมจริงและจินตนาการ เช่น วิทยาการเรือดำน้ำแห่งอนาคต สงครามอวกาศ หุ่นยนต์ยึดครองโลก หรือแม้แต่การฟื้นคืนชีพศพให้มีชีวิต ล้วนมีความยากจากการคิดที่ต้องต่อยอดความรู้เก่าจากอดีตและทำนายความรู้ใหม่ในอนาคต ถ้าเราย้อนกลับไปดูในสมัยก่อน เช่น ยุคละครเวทีจากบทประพันธ์ของเชกสเปียร์ เราก็จะไม่ค่อยพบเห็นการเล่าเรื่องแนวไซไฟสักเท่าไหร่
เนื่องจากแนวไซไฟ (Sci-fi) หรือ Science Fiction เป็นแนวทางการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ เราจึงสามารถย้อนกลับไปดูได้ว่า บทประพันธ์ที่ใช้แนวทางนี้ในการนำเสนอเรื่องราวให้ผู้คนได้รับรู้เป็นครั้งแรก เป็นเรื่องราวอะไร ซึ่งคำตอบนั้นอยู่ที่ชื่อบทความแล้ว เพราะหนังสือนวนิยาย ‘แฟรงเกนสไตน์’ ซึ่งเขียนโดย แมรี เชลลีย์ (Mary Shelley) โดยออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 1818 แม้ว่าในยุคนั้น ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อาจไม่ได้มากมายนัก แต่แฟรงเกนสไตน์ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นนวนิยายเรื่องแรกที่ใช้ความเป็นวิทยาศาสตร์เล่าเรื่องอย่างแท้จริง และทำได้น่าสนใจมากจนหนังสือดังกล่าวกลายเป็นเรื่องราวคลาสสิกตลอดกาล และสร้างชื่อมายาวนาน แม้จะผ่านเวลามาสองร้อยกว่าปีจนถึงยุคปัจจุบัน

Sci-fi มันคืออะไร?
ในภาษาไทยอาจเรียก Sci-fi ว่าเป็น ‘บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์’ หรือ ‘นวนิยายวิทยาศาสตร์’ (แต่เราจะขอเรียกว่า ‘ไซไฟ’) ทั้งสองคำเป็นการแปลเอาความมาจากชื่อเต็มภาษาอังกฤษว่า Science Fiction ที่หมายถึงเรื่องแต่งเชิงวิทยาศาสตร์ รวมหมดทั้งหนังสือนวนิยาย และการแสดงละคร โดยคำว่า Science Fiction ถูกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกโดย ฟอร์เรสต์ เจ แอคเคอร์แมน (Forrest J Ackerman) ชายชาวอเมริกันผู้เป็นทั้งนักแสดง บรรณาธิการ นักเขียน และตัวแทนนักเขียน ซึ่งเขาได้ตั้งชื่อคำว่า ‘Sci-fi’ เมื่อปี 1954 หลังจากได้ยินวิทยุพูดถึงคำว่า ‘Hi-fi’ (ที่น่าจะหมายถึง High Fidelity หรือรูปแบบการอัดเสียงที่มีความเที่ยงตรงสูง ตรงกันข้ามกับเพลง Lo-fi ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนี้)

ที่มา: IMDb และ Fine Art America
แต่ก่อนที่คำว่าไซไฟจะถือดำเนิดขึ้น ฮิวโก เจิร์นสแบค (Hugo Gernsback) นักประดิษฐ์ นักเขียน บรรณาธิการ และผู้จัดพิมพ์นิตยสาร ชาวลักเซมเบิร์ก-อเมริกัน เป็นคนสำคัญในวงการไซไฟอย่างมาก เพราะเขาคือผู้ที่ให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์มาก จนเขาแยกหมวดหมู่หรือแนวไซไฟออกมาจากนวนิยายแนวอื่น ๆ โดยเขาได้จัดทำนิตยสารรวมเรื่องไซไฟหัวเล่มแรกของเขาในชื่อ Amazing Stories ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นนิตยสารไซไฟเล่มแรกของโลก โดยมีการรวบรวมวรรณกรรมแนวไซไฟของคนดัง ผู้ที่ได้รับฉายา บิดาแห่งนวนิยายไซไฟ ทั้งสองคนอย่าง ฌูลส์ แวร์น (Jules Verne) และเอช จี เวลส์ (H. G. Wells) อีกด้วย

ที่มา: Jules Verne
คราวนี้ ถ้าหากจะต้องนิยามว่าไซไฟคืออะไร เขียนอย่างไรให้เป็นไซไฟ ลองมาดูแนวคิดของบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวงการไซไฟกัน
แนวคิดของ ฮิวโก เจิร์นสแบค ที่มีต่อนวนิยายไซไฟ เขาคิดว่ามันจะสมบูรณ์แบบได้ต้องประกอบไปด้วยความเป็นวรรณกรรม 75% และผสมผสานความเป็นวิทยาศาสตร์ 25%
ไอแซค อาซิมอฟ (Isaac Asimov) หนึ่งใน Big Three หรือพี่ใหญ่ทั้งสามแห่งวงการไซไฟ ซึ่งเป็นนักเขียนแนวไซไฟชื่อดัง เจ้าของผลงาน สถาบันสถาปนา (Foundation) ข้าคือหุ่นยนต์ (I, Robot) และมนุษย์สองร้อยปี (The Bicentennial Man) กล่าวไว้ว่า “ไซไฟเป็นวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของมนุษย์ต่อการเปลี่ยนแปลงของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์ (Robert A. Heinlein) หนึ่งใน Big Three อีกคนที่เป็นเจ้าของผลงาน สงครามหมื่นขา ล่าล้างจักรวาล (Starship Troopers) จันทราปฏิวัติ (The Moon Is a Harsh Mistress) และเขามาจากดาวอังคาร (Stranger in a strange land) ได้กล่าวถึงคำจำกัดความของไซไฟไว้ว่า “ไซไฟเป็นเรื่องของการคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้า ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาศัยความรู้ในโลกแห่งความจริง ทั้งอดีตและปัจจุบัน ซึ่งต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในธรรมชาติ และความสำคัญของหลักการทางวิทยาศาสตร์”
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก (Arthur C. Clarke) นักเขียนอีกคนที่เป็นหนึ่งใน Big Three ผู้เป็นเจ้าของผลงานดัง เช่น 2001 จอมจักรวาล (2001: A Space Odyssey) ดุจดั่งอวตาร (Rendezvous with Rama) และสุดสิ้นกลิ่นน้ำนม (Childhood’s End) เขาได้แยกแนวไซไฟออกจากแนวแฟนตาซีไว้ว่า “ไซไฟคือบางสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่คุณมักไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ส่วนแฟนตาซีคือบางสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นคุณจึงเฝ้าฝันอยากให้มันเกิดขึ้น”

ที่มา: Classics of Science Fiction
ในปัจจุบันไซไฟมีธีมหรือรูปแบบการดำเนินเรื่องหลากหลาย เช่น สังคมทางเลือก การเดินทางข้ามเวลา การพบปะมนุษย์ต่างดาว เทคโนโลยีขั้นสูง หรือประวัติศาสตร์ทางเลือกในจักรวาลคู่ขนาน ดังนั้นจึงมีการแยกไซไฟออกเป็น 3 ประเภทย่อย ๆ ได้แก่ ไซไฟจริงจังหรือฮาร์ดไซไฟ (Hard Sci-fi) ไซไฟกึ่งแฟนตาซีหรือซอฟต์ไซไฟ (Soft Sci-fi) และไซไฟแฟนตาซี (Sci-fi Fantasy) โดยฮาร์ดไซไฟจะมีพื้นฐานการดำเนินเรื่องจากข้อเท็จจริง ทฤษฎี หรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่แน่นขนัด ที่มีความเป็นไปได้จริง เช่น เรื่องราวของหุ่นยนต์ การเดินทางระหว่างดวงดาว หรือโลกที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ส่วนซอฟต์ไซไฟจะมีพื้นฐานมาจากสังคมศาสตร์ โดยที่ใช้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ยืดหยุ่นกว่า คืออาจจะจินตนาการขึ้นมาเองก็ได้ แล้วนำมาใช้เพื่อความบันเทิง หรือเดินเรื่องสะท้อนสังคม เช่น เอเลี่ยนทำโลกแตก การเดินทางข้ามเวลาอย่างอิสระ หรือการหลุดเข้าไปในโลกจำลอง และไซไฟแฟนตาซีส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเพ้อฝัน ไม่เน้นความสมจริง แต่มีองค์ประกอบที่เราสามารถเห็นในไซไฟอื่น ๆ ซึ่งมีความสมเหตุสมผลตามบริบทของเนื้อเรื่อง เช่น สงครามในอวกาศ อุปกรณ์สายลับ หรือยอดมนุษย์กลายพันธุ์
จากการพูดคุยของทีมงาน The Principia กับคุณกิตติศักดิ์ คงคา นักเขียนผู้มีผลงานมากมายหลายเล่ม ซึ่งบางเล่มในนั้นเป็นนิยายไซไฟด้วย เช่น หนึ่งนับวันนิรันดร และไม่มีลูกเต๋าอยู่ในดาวหลุมดำ คุณกิตติศักดิ์ได้ให้นิยามแนวไซไฟไว้ว่า “งานไซไฟคืองานที่องค์ประกอบความเป็นวิทยาศาสตร์ส่งผลต่อเส้นเรื่อง จะน้อยก็ได้ จะมากก็ได้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า วิทยาศาสตร์ที่ใส่มามันยากแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับว่ามันมีผลต่อเส้นเรื่องมากแค่ไหนมากกว่า” โดยมีการยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า ถ้าหากนักเขียนตั้งให้ตัวละครทำอาชีพเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่เส้นเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับความรัก ไม่ได้ใช้ผลงานของอาชีพนักวิทยาศาสตร์ให้มีประโยชน์ต่อเนื้อเรื่อง ก็คงไม่นับว่าเป็นไซไฟ
การตีความเรื่องของไซไฟเป็นไปได้หลายแบบ อาจเพราะแนวนี้ยังเป็นแนวที่ค่อนข้างใหม่สำหรับทั้งงานเขียนและงานแสดง การค้นหาไซไฟเรื่องแรกของโลก จึงมีการโต้เถียงกันต่าง ๆ นานา เนื่องจากนวนิยายบางเรื่องที่ดูจะอิงองค์ประกอบทางวิทยาศาสตร์ อาจดำเนินเรื่องด้วยความเป็นแฟนตาซีมากกว่า เป็นต้น ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมส่วนใหญ่จึงใช้คำว่า ไซไฟยุคใหม่ หรือ Modern Sci-fi เพื่อมอบตำแหน่งเรื่องแรกของแนวดังกล่าวให้กับนวนิยายเรื่อง ‘แฟรงเกนสไตน์’

ที่มา: Pantip
ตำนานของ ‘แฟรงเกนสไตน์’
‘แฟรงเกนสไตน์ หรือ โพรมีธีอัสยุคใหม่’ เป็นชื่อเต็มของหนังสือนิยายซึ่งเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษาแพทย์หนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า ดร.วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ที่เกิดอุตริอยากจะพลิกเอาศพที่ไร้ชีวิตมาตัดแต่ง ต่อเติม และเพิ่มชีวิตให้กับมันขึ้นมา เพื่อท้าทายต่อความเชื่อที่มีต่อพระเจ้า เขาจึงมุ่งมั่นทำการค้นคว้าหาวิธี ทั้งการเล่นแร่แปรธาตุ และวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ จนสุดท้าย ดร.แฟรงเกนสไตน์ ก็ได้สร้างอสูรกายจากซากศพขึ้นมาได้จริง ๆ แต่ด้วยความที่มันเป็นซากศพตัดปะที่มีหน้าตาอัปลักษณ์และน่ากลัว พละกำลังก็มากมายมหาศาล อีกทั้งยังมีความคิดเป็นของตัวเอง สุดท้าย ดร.แฟรงเกนสไตน์ผู้ที่สร้างอสูรกายนี้ขึ้นมาก็หวาดกลัว และทิ้งมันไป ปล่อยให้ซากศพเกิดใหม่ที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี และไม่มีใครรัก ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกที่กว้างใหญ่ จนเกิดปมในใจอสูรกายตนนี้ที่แปรเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมอันน่าสยดสยองอย่างที่ผู้สร้างไม่อาจควบคุมได้ กลายเป็นอสูรร้ายไล่สังหารคน แม้ว่าจุดเริ่มต้นนั้นของอสูรร้ายที่ว่าจะไม่ได้ตั้งใจร้ายมาตั้งแต่ต้นก็ตาม

ที่มา: Wikimedia Commons
แฟรงเกนสไตน์ไม่ใช่ชื่อของสิ่งมีชีวิตประหลาดในเรื่อง เป็นเพียงชื่อของผู้ที่สร้างมันขึ้นมา แต่ด้วยความโดดเด่นของตัวละครนี้ในหนังสือ ‘แฟรงเกนสไตน์’ ทำให้ผู้คนจดจำอสูรร้ายในเรื่องในนามแฟรงเกนสไตน์ไปด้วย ฉะนั้นหลังจากนี้ผมขอเรียกแยกกันเป็น ดร.แฟรงเกนสไตน์ และ อสูรกายแฟรงเกนสไตน์ นะครับ
อย่างที่ได้เล่าไปว่า อสูรกายแฟรงเกนสไตน์ไม่ได้มีความอาฆาตมาดร้ายใครมาตั้งแต่ต้น แม้จะมีพละกำลังมากมาย และมีความคิดเป็นของตัวเอง ก็ไม่เคยคิดทำร้ายใคร แต่สุดท้ายด้วยความโดดเดี่ยว ถูกรังเกียจ และถูกทำร้ายด้วยน้ำมือของมนุษย์ ทำให้อสูรกายแฟรงเกนสไตน์ที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเองเกิดปมการเอาคืนมนุษย์ที่เอาแต่กลั่นแกล้งมัน โดยที่มันไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เพราะไม่เคยมีใครมาสอนให้มันรู้จัก ซึ่งชื่อของเรื่องเล่าที่บางครั้งใช้คำว่า แฟรงเกนสไตน์ หรือ โพรมีธีอัสยุคใหม่ เป็นเพราะโพรมีธีอัส ซึ่งเป็นเทพจากปกรณัมกรีกที่เป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นจากการปั้นดินเหนียว เขาจึงเป็นเทพที่รักมนุษย์มาก ครั้งหนึ่งผู้นำแห่งทวยเทพทั่วทั้งยอดเขาโอลิมปัสอย่าง ซุส เกิดริบไฟมาจากมนุษย์ ทำให้มนุษย์ต้องทนอยู่กับความมืดและความหนาวเหน็บ โพรมีธีอัสจึงขโมยไฟจากทวยเทพกลับมาคืนสู่มนุษย์ และด้วยวีรกรรมนั้นทำให้เขาถูกซุสลงโทษด้วยการล่ามโซ่ตรวนไว้กับก้อนหิน และต้องทนทุกข์ทรมานจากการช่วยเหลือมนุษย์ครั้งนั้นไปอีกแสนนาน การเปรียบเทียบแฟรงเกนสไตน์กับโพรมีธีอัสจึงไม่ผิดนัก เพราะแฟรงเกนสไตน์ผู้สร้าง เป็นคนที่นำพาความรู้วิทยาการใหม่มามอบให้แก่โลกใบนี้ เขาคือผู้ที่ค้นพบวิธีการคืนชีพให้กับซากศพได้ แต่เขาต้องทุกข์ทนทรมานจากวีรกรรมของตัวเอง ด้วยการใช้ชีวิตอย่างหวาดผวา อาศัยอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว ตลอดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขา
ด้วยความซับซ้อนของแนวคิดในการเล่าเรื่อง จะเห็นได้ว่า แมรี เชลลีย์ หาหนทางการบรรยายได้อย่างลึกซึ้งมาก มีทั้งแนวคิดของการซ้อนทับระหว่างความตายและการกำเนิด การถูกรังแกที่สร้างแผลในจิตใจจนแปรเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมบางอย่าง รวมถึงการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกับเนื้อเรื่องได้อย่างกลมกล่อม

ที่มา: Peter Zoppi
แมรี เชลลีย์ เขียนนวนิยายเรื่องนี้ขณะที่มีอายุเพียง 18 ปี เมื่อสองร้อยปีที่แล้ว ความรู้และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ยังไม่มากนัก แต่เธอสามารถเขียนเรื่องเกี่ยวกับการสร้างมนุษย์ขึ้นมาโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงต้องถือว่าเธอมีจินตนาการและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ล้ำยุคมากทีเดียว โดยจุดเริ่มต้นการเขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา มาจากชีวิตของเธอที่ใกล้ชิดกับความตายของคนรอบตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก คนแรกคือแม่ของเธอที่เสียไปตั้งแต่คลอดลูกมาได้เพียง 11 วัน หลังจากนั้นพ่อของแมรีที่เป็นนักปรัชญาการเมืองก็แต่งงานใหม่ ทำให้เธอเกิดความระหองระแหงกับคนที่บ้าน ต่อมาจึงได้หนีตามผู้ติดตามคนหนึ่งของพ่อเธอที่ชื่อว่า เพอร์ซี เชลลีย์ ที่ตอนนั้นมาจีบเธอทั้งที่ยังมีภรรยาอยู่ ภายหลังทั้งสองได้แต่งงานกันหลังจากภรรยาเก่าของเพอร์ซีฆ่าตัวตาย ซึ่งก่อนหน้านั้นแมรีก็เพิ่งเสียลูกสาวที่มีกับเพอร์ซีหลังจากคลอดได้ไม่นาน แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งที่สร้างตัวละครที่คืนชีพจากความตาย อาจเป็นเพราะเธอมีความหวังลึก ๆ ที่อยากจะฟื้นคืนชีพคนใกล้ตัวบางคนที่เธอรักให้กลับมามีชีวิต เพื่อลบล้างความรู้สึกผิด หรือความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นกับเธอ
มีช่วงเวลาหนึ่งที่เพอร์ซี แมรี และลูกพี่ลูกน้องของเธอ ได้เดินทางออกจากบ้านในประเทศอังกฤษไปทั่วยุโรป และมีโอกาสได้ไปพักอาศัยที่บ้านของ ลอร์ดไบรอน บริเวณใกล้กับเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พวกเขาทั้งหมด รวมถึงจอห์น วิลเลี่ยม โพลิโดรี ที่อยู่ในกลุ่มด้วย ตั้งกติกาเกมขึ้นมาเพื่อแข่งกันเขียนนิยายสยองขวัญเพื่อดูว่าใครจะเขียนเรื่องได้น่ากลัวที่สุด ซึ่งหลังจากค่ำคืนนั้นที่ได้เริ่มการแข่งขัน แมรีได้ฟังเพอร์ซีเล่าเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ เธอตื่นเต้นกับเรื่องที่ฟังมากจึงเกิดแรงบันดาลใจในการแต่งนิยายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตขึ้นมา โดยในภายหลัง การแข่งขันนี้มีแค่จอห์น โพลิโดรี ที่เขียนเรื่องสั้นแวมไพร์ (The Vampyre) ที่เป็นต้นตำรับของแดรกคูลาอีกที และแมรี เชลลีย์ ที่เขียนแฟรงเกนสไตน์ที่เราพูดถึงในบทความนี้ได้สำเร็จ และได้กลายมาเป็นหนึ่งใน Pop culture ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งจากยุคนั้น ซึ่งแฟรงเกนสไตน์ถูกเขียนตั้งแต่ปี 1816 และถูกตีพิมพ์ในปี 1818
แฟรงเกนสไตน์กลายเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของนิยายและภาพยนตร์อีกหลาย ๆ เรื่อง ถ้ายกตัวอย่างสมัยใหม่หน่อยคงเป็น เอ็ดเวิร์ดมือกรรไกร (Edward Scissorhands) ที่กำกับโดย ทิม เบอร์ตัน และคนเหล็ก (The Terminator) ที่กำกับโดย เจมส์ คาเมรอน ล้วนเป็นภาพยนตร์ที่สร้างอมนุษย์ขึ้นมาให้ต่อกรกับมนุษย์ และได้รับแรงบันดาลใจมาจากแฟรงเกนสไตน์ทั้งสิ้น
และล่าสุด ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง กีเยร์โม เดลโตโร ก็สนใจนำเรื่องราวความคลาสสิคของแฟรงเกนสไตน์กลับมาทำใหม่ และพร้อมกำกับด้วยตัวเอง โดยเขาเคยบอกไว้ว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่เขาอยากสร้างมาตลอด 50 ปี ตั้งแต่เคยดูภาพยนตร์ต้นฉบับที่หยิบนิยายแฟรงเกนสไตน์มาขึ้นจอใหญ่เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1931 ซึ่งทุกวันนี้วงการภาพยนตร์ได้พัฒนาเทคนิคและเครื่องมือมามากแล้ว ทำให้ กีเยร์โม เดลโตโร มีความกล้าหรือบ้ามากพอที่จะลองสร้างมันขึ้นมา
อ้างอิง
Forrest J Ackerman, the Man Who Coined Term ‘Sci-Fi,’ Dies at 92
science fiction: literature and performance
The Man who Invented Science Fiction – Hugo Gernsback
Definitions of science fiction
มุมมองจากภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์
บทวิจารณ์หนังสือ | แฟรงเกนสไตน์หรือโพรมีธีอัสยุคใหม่ (Frankenstein; or, The Modern Prometheus)
เที่ยวอังกฤษแบบคนคิดมาก : แวมไพร์แห่งย่านโซโฮ ต้นกำเนิดของผีดูดเลือดทั้งปวง