เป็นเวลากว่า 50 ปีนับตั้งแต่ภาพถ่ายทอดสดของกล้องหน้ารถโรเวอร์บนดวงจันทร์เมื่อภารกิจอะพอลโล่ 17 มนุษยชาติก็ไม่เคยกลับไปเหยียบดวงจันทร์ ทั้งนี้เนื่องจากผลกระทบของสงครามเวียดนามส่งผลให้งบประมาณส่วนใหญ่ทุ่มเทให้กับสงครามที่กำลังคุกกรุ่นอยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกันนั้นกระแสต่อต้านของประชาชนชาวอเมริกาในตอนนั้นที่มองว่าการเดินทางไปอวกาศคือการนำทรัพยากรไปใช้โดยไร้ประโยชน์ ทำให้โครงการอพอลโล่ต้องถูกยกเลิกไป
แต่ทว่าในอีกหลายปีต่อมาผู้นำจากหลากหลายประเทศต่างก็ตระหนักได้ว่าการสำรวจอวกาศได้ทำให้มนุษย์พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีได้อย่างก้าวกระโดดซึ่งได้ส่งต่อมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ที่มา :Collecting Lunar Samples on Apollo 17 Spacewalk | NASA
ดังนั้นเองนาซ่าจึงได้ประกาศที่จะนำพามนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อการลงจอดเพื่อไปปักธงแล้วกลับมาแต่เป็นการเตรียมการสำหรับการออกเดินทางสู่ห้วงอวกาศอันไกลโพ้นและขยายขอบเขตการสำรวจและถิ่นฐานของมนุษย์ให้แผ่ขยายออกไป โดยจุดมุ่งหมายโดยลึก ๆ ของมนุษยชาติในตอนนี้ก็คือดาวอังคาร แต่ทว่าการตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคารเราจำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมอันสุดโต่งของดาวเคราะห์ดวงนี้ ดังนั้นเองดวงจันทร์ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างโลกและดาวอังคารจึงเป็นจุดหมายที่เหล่านักดาราศาสตร์ทั่วโลกต่างให้ความสนใจและเป็นเป้าหมายของภารกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานต่อจากนี้
ภารกิจ Artemis

จุดเริ่มต้นของภารกิจอาร์เทมิสเริ่มขึ้นเมื่อปี 2019 จิม ไบรเดนสไตน์ (Jim Bridenstine) ผู้อำนวยการนาซ่าในขณะนั้นได้ออกมาประกาศภารกิจที่จะพามนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์ภายในปี 2024 (ตอนมาเลื่อนเป็น 2025) โดยการกลับไปดวงจันทร์ครั้งนี้เป็นเหมือนการเตรียมความพร้อมสำหรับการตั้งถิ่นฐานบนดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยเฉพาะดาวอังคารซึ่งจะเป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่เราจะเข้าไปตั้งถิ่นฐาน
ทำให้เราอาจเปรียบเทียบได้ว่าการตั้งถิ่นฐานบนดวงจันทร์ก็เหมือนกับกระบะทราย (Sandbox) ที่ใช้ทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จำเป็นในอนาคตในการตั้งถิ่นฐาน แพร่ขยายและเพิ่มพูนการสำรวจออกไปยังห้วงลึกของอวกาศ
โดยโครงการนี้มิใช่ความสำเร็จของนาซ่าเพียงอย่างเดียวแต่เป็นความสำเร็จของมนุษยชาติทุกคนเนื่องจากเป็นความร่วมมือทั้งจากข้อตกลงในระดับนานาชาติและความร่วมมือจากบริษัทเอกชนที่พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้
อะไรคือสิ่งที่เราจะได้รับจากการกลับไปครั้งนี้
ตลอดระยะเวลา 50 ปีมานี้ มนุษย์ได้บ่มเพาะและพัฒนาเทคโนโลยีอยู่เสมอจนกระทั้งในโครงการอาร์ทิมิสถือเป็นการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งจะถูกใช้ในการตั้งถิ่นฐานและการเดินทางบนอวกาศในอนาคตไม่ว่าจะเป็น Space Launch System หรือ SLS จรวดที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หรือแม้แต่แคปซูลโดยสารโอไรออนที่ถูกพัฒนาจากความร่วมมือของนาซ่าและ ESA หรือองค์การอวกาศสหภาพยุโรป

ที่มา :Space Launch System – Wikipedia
โดยความทรงพลังของจรวดรุ่นใหม่ SLS นี้นาซ่าได้เปิดเผยว่าด้วยจรวดรุ่นใหม่นี้ เราจะสามารถบรรทุกสัมภาระปริมาณ 27 ตันเพื่อเดินทางไปยังดวงจันทร์ได้
นอกจากจรวดและยานอวกาศรุ่นใหม่ซึ่งถูกทดสอบมาจนกว่าจะแน่ใจว่าพร้อมสำหรับการปล่อยในภารกิจทดสอบบินจริงใน ภารกิจอาร์ทิมิส 1 แล้ว ในภารกิจอาร์ทิมิส 3 นี้เราจะกลับไปเหยียบดวงจันทร์อีกครั้งโดยในครั้งนี้จะเป็นการส่งนักบินอวกาศจำนวน 4 คนขึ้นไปโดยจะมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ได้เหยียบบนพื้นผิวของดวงจันทร์โดยกำหนดให้คนแรกเป็นนักบินอวกาศหญิงเพื่อแสดงให้เห็นว่าอวกาศมิใช่พื้นที่สำหรับเพศใดเพศหนึ่ง แต่คือพื้นที่ของเราทุก ๆ คนโดยไม่จำกัดเพศหรือเชื้อชาติ
นอกจากนี้การกลับลงไปเหยียบบนดวงจันทร์แล้ว เรายังได้ส่งอุปกรณ์ทดลองและสำรวจต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูลของดวงจันทร์เพิ่มเติมเพื่อศึกษาต่อในอนาคตซึ่งจะเพิ่มพูนองค์ความรู้ของเรา รวมทั้งการสร้างอาณานิคมซึ่งจะเป็นสนามทดลองและพัฒนาเทคโนโลยีที่จะใช้การดำรงชีวิตและตั้งถิ่นฐานในอนาคต โดยตำแหน่งในการจัดตั้งอาณานิคมจะอยู่ใกล้กับหลุมอุกกาบาตแชคเกอตัน ณ บริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์โดยตำแหน่งนี้เหมาะสมสำหรับการขุดเจาะน้ำแข็งซึ่งจะถูกนำมาใช้ในอาณานิคมของมนุษย์ในอนาคตและมีอุณหภูมิที่ไม่ผันผวนเท่ากับบริเวณเส้นศูนย์สูตรของดวงจันทร์ และบริเวณนี้ยังได้รับแสงอาทิตย์ต่อเนื่องตลอดเวลา
แต่ทว่าการขนส่งสัมภาระไปยังตำแหน่งที่จะตั้งอาณานิคมที่บริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์นั้นจำเป็นต้องมีการปรับวงโคจรและขั้นตอนที่ยุ่งยาก ทางนาซ่าเล็งเห็นถึงปัญหาที่เกิดจากความยุ่งยากนี้จึงได้ริเริ่มโครงการสร้างสถานีอวกาศ ลูน่าเกตเวย์ ซึ่งจะเป็นทั้งจุดแวะพักเติมสเบียงและเชื้อเพลิงสำหรับยานอวกาศที่จะเดินทางไปดาวอังคารในอนาคตและยังเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างการปฏิบัติหน้าที่บนพื้นผิวดวงจันทร์กับโลก ซึ่งลูน่าเกตเวย์ นี้เกิดจากการลงนามข้อตกลงในสัญญาระหว่างนาซ่า สหภาพยุโรป ญี่ปุ่นและแคนาดาในการร่วมกันผลิตโมดูลและส่วนประกอบของสถานีอวกาศลูน่าเกตเวย์ โดยมีจรวด Falcon Heavy ของ SpaceX ทำหน้าที่ขนส่งชิ้นส่วนของลูน่าเกตเวย์ โดยทางข้อมูลเบื้องต้นของลูนาร์เกตเวย์ในเฟสแรกจะมีขนาดประมาณ 1 ใน 6 ของสถานีอวกาศนานาชาติหรือ ISS ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ในอนาคตเมื่อเกิดการตั้งถิ่นฐานขึ้นบนดาวอังคาร การติดต่อสื่อสารจะถือเป็นปัญหาใหญ่อันเนื่องจากในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารในปัจจุบันเราใช้การติดต่อผ่านคลื่นวิทยุซึ่งจะใช้เวลา 4 ถึง 20 นาทีในการติดต่อจากดาวอังคารมายังโลกซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดาวอังคารในแต่ละช่วงปี ทำให้เราไม่อาจทราบปัญหาที่เกิดขึ้นบนดาวอังคารได้แบบเรียลไทม์ได้ ดังนั้นการเริ่มสร้างอาณานิคมบนดวงจันทร์จึงเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอาณานิคมอื่น ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ภาพรวมโครงการ
ในปัจจุบันนาซ่าได้ออกมาประกาศรายละเอียดของโครงการอาร์ทิมิสถึง 6 ภารกิจด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- อาร์ทิมิส 1 (วันที่ 29 สิงหาคม ปี 2022) ทดสอบจรวด SLS แล้วส่งยานอวกาศโอรออนแบบไร้คนขับไปโคจรรอบดวงจันทร์

- อาร์ทิมิส 2 (ปี 2024) ส่งนักบินอวกาศ 3 คนไปโคจรรอบดวงจันทร์กับยานอวกาศโอไรออน

- อาร์ทิมิส 3 (ปี 2025-2026) ส่งนักบินอวกาศไปบนวงโคจรของดวงจันทร์ 4 คน โดยมี 2 คนที่จะได้ลงไปเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในรอบ 50 กว่าปี ซึ่งคนแรกนั้นถูกกำหนดไว้ให้เป็นผู้หญิงอีกด้วย

- อาร์ทิมิส 4 (ปี 2027) ส่งนักบินอวกาศ 4 คนไปยังวงโคจรของดวงจันทร์ พร้อมกับนำโมดูลที่อยู่อาศัย I-HAB ของลูนาร์เกตเวย์ไปติดตั้ง
- อาร์ทิมิส 5 (ปี 2027) กลับสู่พื้นผิวดวงจันทร์พร้อมกับนำโรเวอร์ไปขับเล่น ในขณะที่ติดตั้งส่วนการสื่อสาร ESPIRIT บนลูนาร์เกตเวย์
- อาร์ทิมิส 6 (ปี 2028) ลงจอดดวงจันทร์ครั้งที่ 3 ของโครงการและนำแอร์ล็อคไปติดบนลูนาร์เกตเวย์สำหรับไว้ซ่อมแซมสถานีและทำการทดลองต่าง ๆ
29 สิงหาคม 2022 วินาทีแห่งประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจารึก
วันที่ 29 สิงหาคมหรืออีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ (28 สิงหาคม) ณ ฐานปล่อยหมายเลข 39B ศูนย์อวกาศเคเนดี้ รัฐฟลอริด้า ภายหลังการทดสอบนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อความแน่ใจก่อนการทดสอบบินจริง ในที่สุดจรวดซึ่งจะพาเรากลับไปยังดวงจันทร์ก็พร้อมแล้วในที่สุด โดยภารกิจอาร์ทิมิส 1 จะกินเวลาประมาณ 42 วันนับตั้งแต่วินาทีการปล่อยจนกระทั้งตัวยานกลับลงสู่พื้นโลกอีกครั้ง
โดยท่านสามารถรับชมวินาทีประวัติศาสตร์นี้ได้ผ่านไลฟ์ยูทูปของนาซ่าได้ตามลิงก์นี้ (15) Artemis I Launch to the Moon (Official NASA Broadcast) – YouTube
สุดท้ายนี้ การออกสู่อวกาศของเราในครั้งนี้มิใช่การที่เราละทิ้งโลกหรือดวงดาวมาตุภูมิที่อุ้มชูชีวิตเราตั้งแต่อดีต แต่เป็นการทำให้โลกนั้นดีขึ้น เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเทคโนโลยีที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันเป็นผลพลอยได้จากการออกสำรวจอวกาศในอดีต หากไร้ซึ่งการสำรวจในอดีตเราคงไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เครื่องกรองอากาศ อาหารแช่แข็งอบแห้ง (Freeze Dried) และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้การออกสำรวจอวกาศยังเป็นการขยายขอบเขตของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ในแง่ของทรัพยากรแล้ว ณ ดินแดนอันไร้ขอบเขตนี้อาจจะเป็นคำตอบของการแก้ไขปัญหาทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดบนโลก
อ้างอิง
Artemis I: Demonstrating the Capabilities of NASA’s United Networks | NASA