Solar Eclipse หรือ สุริยคราส/สุริยุปราคา เป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก โคจรเรียงอยู่ในแนวเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง ทำให้เกิดเงาของดวงจันทร์ เราจึงเห็นดวงอาทิตย์มืดไป ปรากฏการณ์นี้มีความสำคัญตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน แทรกอยู่ในทุกความเชื่อและศาสนาของผู้คนทั่วโลก ผู้คนในบริเวณอุษาคเนย์ก็มีความเชื่อเรื่องของคราสและโชคลาง บ้างว่าเป็นอาเพศ ต้องเคาะหม้อไหเพื่อส่งเสียงขับไล่ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่อมดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ เป็นที่มาของคำว่า ‘กบกินเดือน’ และ ‘กบกินตะวัน’
แต่เมื่อสุริยคราสไปเกิดในฟากตะวันตกแถบทะเลไอโอเนียน (Ionian) กลับมีนักคิดที่คำนวณคราสดังกล่าวนี้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ชื่อของเขาคือ ธาลีสแห่งมิเลตุส (Thales of Miletus) ผู้คำนวณทำนายว่าจะเกิดสุริยุปราคาในปี 585 ก่อนคริสตกาล ผลที่เกิดขึ้นจากสุริยุปราคาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่การันตีความสามารถในการคำนวณของธาลีส แต่ยังหยุดสงครามอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็น “สุริยคราสห้ามทัพ”
ช่วงเวลานั้นเกิดสงครามระหว่างชาวลีเดียน (Lydians) ซึ่งปัจจุบันคือประเทศตุรกี และชาวเมเดส (Medes) ชาวอิหร่านโบราณ ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันยืดเยื้อยาวนาน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะและไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้กันง่าย ๆ แต่แล้วท้องฟ้าในสมรภูมิรบของวันที่ 28 พฤษภาคม 585 ปีก่อนคริสต์ศักราช จู่ ๆ ก็ค่อย ๆ มืดมิดลงอย่างผิดวิสัย กองทัพทั้งสองฝ่ายถูกห้อมล้อมด้วยความมืด สร้างความแปลกใจและตื่นกลัวแก่เหล่าชายฉกรรจ์ในกองทัพ แม้ความมืดอันเกิดจากสุริยคราสครั้งนี้จะกินเวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาที แต่ก็สร้างความตระหนกตกใจจนทหารทั้งสองฝ่ายวางอาวุธในที่สุด สิ้นสุดสงครามอันยาวนานถึง 6 ปี
เรื่องราวสงครามครั้งนี้ถูกจดบันทึกในงานเขียนของบิดาแห่งประวัติศาสตร์นามว่า ‘เฮอโรโดตุส (Herodotus)’ ที่นอกจากจะอธิบายถึงสงครามครั้งนี้แล้ว ยังมีการกล่าวถึงนักปรัชญาอย่างธาลีสแห่งมิเลตุสไว้ว่า
“Thales of Miletus had foretold this loss of daylight to the Ionians, fixing it within the year in which the change did indeed happen.”
สรุปใจความได้ว่า ธาลีสแห่งมิเลตุสเคยทำนายว่าชาวไอโอเนียน (ที่ชาวอินเดียเรียก ‘พวกโยนก’) จะสูญเสียกลางวันไปและสุดท้ายจะมีการเปลี่ยนแปลง จากคำกล่าวนี้เราอาจสรุปได้ว่าธาลีสได้ทำนายการเกิดสุริยุปราคาที่เกิดขึ้นวันเดียวกับการสิ้นสุดของสงครามระหว่างชาวลีเดียนและชาวเมเดส
การคำนวณวันเวลาที่แน่ชัดของเหตุการณ์นี้ไม่ได้มีการจดบันทึกไว้ในเอกสารโบราณ แต่เป็นการคำนวณย้อนกลับไปของนักดาราศาสตร์ในปัจจุบัน ที่ประมาณการไว้ว่าสุริยุปราคาครั้งนี้เกิดขึ้นในวันที่ 28 พฤษภาคม 585 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยเงามืดของดวงจันทร์ได้พาดผ่านตั้งแต่ตอนกลางของทวีปอเมริกา ผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกจนถึงฝรั่งเศส อิตาลีและตุรกี อันเป็นบริเวณสมรภูมิที่สงครามกำลังครุกรุ่น เมืองมิเลตุสที่ธาลีสอาศัยก็ในบริเวณไม่ห่างกันนักจึงสามารถมองเห็นวิถีของคราสได้
อย่างไรก็ดีบรรดานักดาราศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ไม่ได้ให้เครติดกับการคำนวณของธาลีสเหมือนที่เฮอโรโดตุสกล่าวอ้างไว้ เพราะถึงแม้ธาลีสจะได้รับยกย่องเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกแห่งโลกตะวันตก แต่ด้วยเครื่องมือทางดาราศาสตร์ที่จำกัดจึงไม่อาจสามารถคำนวณคราสได้อย่างแม่นยำ ยิ่งไปกว่านั้นธาลีสเองเชื่อว่าโลกเป็นแผ่นแบนลอยอยู่ในน้ำ จึงอาจขัดกับการเกิดสุริยคราสที่เงาเป็นทรงกลม และหากเธลีสคำนวณได้จริงแม่นยำทำไมจึงคำนวณแม่นยำเพียงปีไม่ครอบคลุมถึงวันและเวลา ทำให้ข้อมูลที่ว่าธาลีสสามารถทำนายวันเวลาการเกิดสุริยคราสตรงกับวันสิ้นสุดสงครามนั้นฟังดูไม่มีน้ำหนักเท่าไร
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถคิดอีกแง่ว่าเขาอาจโชคดีที่ทำนายการเกิดสุริยุปราคาได้ตรง ผ่านการหยิบจับเอาความรู้และการคำนวณทางดาราศาสตร์ของชาวบาบิโลนมาใช้ รวมถึงการที่ธาลีสวิเคราะห์จากคาบวัฏจักซารอส (Saros cycle) ที่ใช้ในการคำนวณการเกิดอุปราคา เราอาจกล่าวได้ว่าการคำนวณที่ดูมีหลักการคงเป็นอะไรไปได้ไม่มากกว่าการคาดเดาเท่านั้น
สุดท้ายเราคงต้องย้อนกลับมาที่บันทึกของเฮอโรโดตุส จากชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ของธาลีสที่เปลี่ยนเเปลงกรอบคิดจากความเชื่อสู่เหตุผล แต่กระนั้นดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ก็ยังดูเหมือนเป็นมายากลบางอย่างที่เล่นกับความเชื่อ การที่เฮอโรโดตุสอ้างถึงธาลีสคงเป็นการยกย่องฮีโร่ผ่านเรื่องราวสงครามที่ฟังมาปากต่อปากมากกว่าจะมีหลักฐานการคำนวณทางคณิตศาสตร์
ถึงธาลีสจะทำนายการเกิดสุริยุปราคาครั้งนี้ได้อย่างแม่นยำหรือไม่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับเหตุการณ์บนท้องฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในสงครามครั้งนั้น เรื่องราวเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราศึกษาวิทยาศาสตร์ด้วยแว่นตาที่ให้เหตุผลและหลักการในการแสวงหาข้อเท็จจริง มากกว่าที่จะเชื่อเพียงเพราะได้ยินมาหรือหลักฐานเพียงน้อยนิด
อ้างอิง
History Daily | The Power Of An Eclipse: The Story Of The Eclipse Of Thales