ณ ดินแดนป่าดงดิบในแถบแม็กซิโก อันเป็นถิ่นกำเนิดของพืชที่ครองใจคนทั้งโลก “โกโก้” หรือ Theobroma cacao L. เป็นพืชไม่ผลัดใบในวงศ์ชบา มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ตอนเหนือ โดยถูกนำเข้าสู่ยุโรปครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1550 หลังจากจักรวรรดิสเปนสามารถพิชิตอาณาจักรแอซเท็คลงได้สำเร็จ เมล็ดโกโก้ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของละตินอเมริกา โดยโกโก้จะถูกแปรรูปเป็นช็อกโกแลต ซึ่งเป็นองค์ประกอบของขนมหวานหรือขนมหวานทานเล่นระหว่างวัน โดยช็อกโกแลตมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ดังนี้ ดาร์กช็อกโกแลต,
ช็อกโกแลตนม และ
ไวท์ช็อกโกแลต
ทำไมช็อกโกแลตกำลังหายไป
เราทราบกันดีว่าช็อกโกแลตเกิดจากการแปรรูปเมล็ดโกโก้ ดังนั้นเองภาวะการขาดแคลนเมล็ดโกโก้จึงสาเหตุหลักที่สำคัญที่ทำให้ขนมหวานที่ครองใจคนทั้งโลกนี่กำลังจะหมดไป แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้โกโก้กำลังจะสูญพันธุ์ในอีกไม่ช้า โดยข้อมูลจากองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration หรือ “โนอา”) ระบุว่า ต้นโกโก้อาจสูญพันธุ์ภายในปี 2593 หรืออีก 26 ปีข้างหน้า เนื่องจากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้โกโก้คายน้ำเร็วขึ้น ที่กระทบต่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช นำมาสู่ผลผลิตที่ลดน้อยลงในทุกปี อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้โกโก้อาจสูญพันธุ์ก็คงเป็นความจำเพาะต่อสภาพอากาศของโกโก้ที่ไม่ได้เหมือนพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ที่สามารถปลูกในที่ไหนของโลกก็ได้ แต่โกโก้นั้นปลูกได้แค่ในเฉพาะอเมริกากลางและประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก เช่น “ไอวอรี่ โคสต์” และ “กาน่า” เป็นผู้นำตลาด โดยสัดส่วนของโกโก้ที่ผลิตในประเทศเหล่านี่มีมากถึง 53% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั้งหมด โดยในระยะหลังมานี่ผลผลิตของทั้งสองประเทศลดลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงทั้งหน้าฝนที่มีปริมาณน้ำฝนจำนวนมาก รวมถึงหน้าร้อนที่ทำให้ต้องเผชิญกับความแห้งแล้งรุนแรงกว่าปกติ

นอกจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแล้วในพื้นที่ฝนตกชุกมาก น้ำฝนจำนวนมากได้ท่วมขังไร่โกโก้เป็นสาเหตุของโรคพืช อาทิ โรคฝักดำ โรคไวรัสหน่อบวม ทำให้ฝักโกโก้เน่าเปื่อย และอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ต้นโกโก้ตายได้
เราสร้างช็อกโกแลตเทียมได้หรือไม่
การหายไปของเมล็ดโกโก้ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คงจะเป็นโรงงานทำขนม อย่างวิลลี่ วองก้า ตัวละครในวรรณกรรมเรืองชื่อ ชาลีกับโรงงานช็อกโกแลต ที่พวกเขาคงไม่มีเมล็ดโกโก้ให้ชาวอูมป้า-ลูมปาส์แล้ว แล้ววองก้าต้องทำยังไงละ เราสร้างช็อกโกแลตเทียมมาแทนที่ช็อกโกแลตจริง ๆ ที่ทำจากโกโก้ได้หรือไม่?

ที่มา : https://www.dek-d.com/writer/47348/
ปัจจุบัน เรามีการผลิตช็อกโกแลตเทียมหรือ “mockolate” ซึ่งทำขึ้นมาจากน้ำมันพืชและสารปรุงแต่งกลิ่นและรสช็อกโกแลต โดยไม่มีโกโก้ผสมอยู่ในส่วนผสมแม้แต่นิดเดียว ทำให้มันมีราคาที่ถูกลงอย่างเป็นอย่างมากอย่างไรก็ตามถึงแม้รสสัมผัสและกลิ่นจะเหมือนช็อกโกแลตมากเพียงใด แต่ส่วนประกอบทั้งหมดกลับไม่มีโกโก้เลย ทำให้ช็อกโกแลตนี่ไม่มีคุณประโยชน์ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงโรคหัวและหลอดเลือด
โดยพืชที่นิยมนำมาทำก็คือ พืชตระกูลถั้ว Carob (Ceratonia siliqua) ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง เดิมพืชชนิดนี่ถูกใช้เพื่อรักษาอาการติดคาเฟอีนสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงคาเฟอีนหรือผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพส่วนผสมที่ไม่มีคาเฟอีน นอกจากนี่สารสกัดจากคารอบยังมีรสหวานทำให้อร่อยถูกปาก แต่เนื่องจากรสสัมผัสของคารอบที่ค่อนข้างหยาบ ทำให้จำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อเพื่อให้เป็นช็อกโกแลตทางเลือกในอนาคต อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ไม่สามารถใช้ได้ในช็อกโกแลตเจ้าใหญ่ ๆ ที่เคลมว่าผลิตภัณฑ์ของตนใช้ช็อกโกแลตแท้ 100%
แบรนด์ช็อกโกแลตปรับตัวยังไง
ผลผลิตของโกโก้ที่ลดลงส่งผลช็อกโกแลตเจ้าใหญ่ ๆ จำเป็นที่ต้องมีการปรับตัว โดยนโยบายที่พบเห็นได้มากในแบรนด์ต่าง ๆ คือการออกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ช็อกโกแลตให้น้อยลงที่สุด หรือ “Shrinkflation” ที่ขายราคาเท่าเดิมแต่ขนาดเล็กลงเพื่อลดต้นทุน อย่างไรก็ตามสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้น สถาบัน“นีลเส็นไอคิว” (Nielsen IQ) กล่าวว่าผู้บริโภคจะลดค่าใช้จ่ายในการซื้อช็อกโกแลตและลูกอมลง
อีกวิธีหนึ่งที่ทางแบรนด์เลือกใช้คือ การปรับลดบทบาทของขนมที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลต พร้อมผลักดันโปรดักต์อื่นๆ ขึ้นมาเป็นสินค้าทดแทน เช่น เนสท์เล่ที่ออกช็อกโกแลตแท่งกลิ่นเฮเซลนัท ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมแต่ส่วนด้านในจะมีความโปร่งนิ่มคล้ายฟองอากาศ ซึ่งนอกจากลดต้นทุนแล้วยังทำให้ขนมเบาขึ้น 1 ใน 3 ของน้ำหนักเดิม ด้าน “คิทแคท” ออกรสชาติใหม่ “Chocolate frosted donut” ที่เป็นขนมที่เคลือบช็อกดกแลตเพียงด้านบนเท่านั้น ส่วนด้านล่างกับด้านข้างใช้เนยโกโก้แทน ในขณะที่ Hershey’s ยักษ์ใหญ่อีกเจ้าเลือกออกมาตราการที่จะเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของ “Gummy Candy” หรือขนมหวานประเภทเยลลี่อีก 50%
ผลกระทบต่อผู้บริโภค
ในวามเห็นของผู้เขียนแล้วอัตราการผลิตของโกโก้ในแต่ละปีที่ลดลงนั้นสวนทางกับความต้องการของผู้บริโภคหรือที่เรียกว่าอุปสงค์ส่วนเกิน ส่งผลให้ราคาช็อกโกแลตในช่วงนี่ราคาดีดตัวสูงขึ้นตามความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น ขณะเดียวกันยิ่งราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น ผู้บริโภคจะมีอัตราการซื้อที่ลดลงทำให้ผู้ขายจำเป็นต้องลดขนาดของสินค้า หรือลดปริมาณที่ใช้เพื่อลดต้นทุนและทำราคาให้ถูกลง ดังนั้นในระยะยาวแล้วช็อกโกแลตแท่งจะมีขนาดเล็กลง ซึ่งสอดคล้องกับการปรับตัวของแบรนด์ดังอื่น ๆ ที่มีต่อสถานการณ์นี้
ในระยะยาวหากโกโก้สูญพันธุ์ เราอาจจะยังมีช็อกโกแลตให้กินอยู่แต่ช็อกโกแลตนั่นไม่ได้ทำมาจากเมล็ดโกโก้ แต่ทำมาจากน้ำมันพืชอื่น ๆ เช่น คารอบ