ตามปกติแล้วสายฟ้าผ่าจะมีความยาวประมาณ 3-5 กิโลเมตร เมื่อนับจากแหล่งกำเนิดตรงบริเวณก้อนเมฆถึงพื้นเบื้องล่าง แต่บางสายฟ้าก็อาจวิ่งไปในแนวนอนระหว่างก้อนเมฆกับก้อนเมฆด้วยกันเองได้เช่นกัน ทำให้ระยะทางของสายฟ้ายาวกว่าที่ควรจะเป็น โดยสายฟ้าที่วิ่งได้ไกลที่สุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017 ซึ่งพาดผ่านที่ราบสูงของทวีปอเมริกาเหนือ กินระยะทางไกลกว่า 829 กิโลเมตร

ที่มา : https://www.sciencealert.com/worlds-longest-lightning-strike-crossed-515-miles-from-texas-to-kansas
แรนดี เซอร์เวนี นักวิทยาศาสตร์ทางภูมิศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนาและองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกเรียกปรากฎการณ์ฟ้าแลบที่ยาวที่สุดนี้ว่า ‘เมกะแฟลช’ (Megaflash) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าปรากฎการณ์ฟ้าแลบแบบนี้ เกิดจากกระแสลมอันแปรปรวนของพายุฝนฟ้าคะนองที่ทำให้ก้อนเมฆเกิดการเสียดสีจนเกิดการสะสมของประจุจำนวนมหาศาลที่พร้อมจะพุ่งทะยานข้ามไปยังพื้นที่อื่น แต่ว่าการเกิดสายฟ้าที่ยาวพาดหลายกิโลเมตรแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่พบได้ยากมาก

ที่มา : https://www.sciencealert.com/worlds-longest-lightning-strike-crossed-515-miles-from-texas-to-kansas
จากการคาดการณ์ของนักอุตุนิยมวิทยาปรากฎการณ์เมกะแฟลชสามารถรุนแรงได้มากกว่านี้และเราจะสามารถสังเกตปรากฏการณ์แบบนี้ได้ด้วยเครื่องมือที่มีความเฉพาะเท่านั้น เช่น ดาวเทียมตรวจอากาศค้างฟ้า GOES-16 และ GOES-17 ของ NOAA ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์ Geostationary Lightning Mappers ที่คอยตรวจสอบท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อค้นหาฟ้าผ่ารุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลก
การค้นพบเมกะแฟลชในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อดาวเทียม GOES-16 สามารถตรวจจับและบันทึกพายุฝนฟ้าคะนองขนาดใหญ่เมื่อเดือนตุลาคมปี 2017 ได้สำเร็จ แต่ในตอนนั้นตัวเครื่องไม่สามารถรายงานการค้นพบเมกะแฟลชได้จนกระทั่งทีมวิจัยที่นำโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านบรรยากาศ ไมเคิล ปีเตอร์สัน จากศูนย์วิจัยพายุรุนแรง สถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย เข้ามาตรวจสอบข้อมูล โดยบริเวณที่พบเมกะแฟลชนั้นคือตอนบนของทวีปอเมริกาเหนือตามที่กล่าวไปข้างต้น
ตามปกติแล้วฟ้าแลบหรือฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นจะมีขนาดที่เล็กมากยาวไม่ถึง 16 กิโลเมตรและมีแนวโน้มที่จะเป็นแนวตั้งมากกว่าแต่ในบางครั้งกระแสไฟฟ้าพวกนี้ก็วิ่งในแนวนอนไปมาระหว่างก้อนเมฆ หากก้อนเมฆก้อนนั้นมีขนาดที่ใหญ่มาก ๆ อาจเกิดฟ้าแลบที่ยาวมากกว่า 100 กิโลเมตร
การศึกษาเมกะแฟลชเป็นงานที่ต้องอาศัยความวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากภาพแผนที่ที่ตรวจวัดได้เป็นภาพในเชิง 2 มิติ ทำให้สายฟ้าที่วิ่งไปมาอาจทับกันดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศํยข้อมูลจากภาคพื้นดินเพื่อสร้างขอบเขตของเหตุการณ์ใหม่ในรูป 3 มิติ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราทราบว่าเมกะแฟลชที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นภายในครั้งเดียวและวัดขนาดที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ทัศนวิสัยการบดบังจากก้อนเมฆอาจทำให้การวัดมีความคาดเคลื่อนดังนั้นดาวเทียม GOES จึงมีบทบาทสำคัญในหน้าที่นี้
ดาวเทียม GEOS เคยใช้ในการตรวจวัดฟ้าแลบและฟ้าผ่ามาแล้วหลายครั้ง โดยนอกจากเมกะแฟลชที่ไกลที่สุดแล้วดาวเทียมพวกนี้ยังเคยบันทึกฟ้าผ่าที่นานที่สุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2020 ซึ่งกินเวลาประมาณ 17.102 วินาที ระหว่างพายุเหนืออุรุกวัยและอาร์เจนตินา
ไมเคิล ปีเตอร์สัน นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศกล่าวว่าปรากฎการณ์ฟ้าแลบฟ้าผ่าเป็นชอบเขตที่สุดขั้วของการศึกษาด้านอุตุนิยมวิทยาเนื่องจากกระแสไฟฟ้าสามารถขยายขอบเขตออกไปได้อย่างต่อเนื่องในทางปฎิบัติ ดังนั้นการเพิ่มขอบเขตการศึกษาบนวงจรค้างฟ้าอาจจะช่วยให้เราขยายขีดจำกัดการศึกษาให้กว้างไกลมากขึ้นและเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ
อ้างอิง
https://www.sciencealert.com/worlds-longest-lightning-strike-crossed-515-miles-from-texas-to-kansas