ที่ผ่านมา ผู้เขียนเคยคิดมาตลอดว่า ถ้าวันนึงมีคนริเริ่มทำหนังไซไฟไทยฟอร์มยักษ์ในช่วงเวลานี้ มันจะมีหน้าตาเป็นแบบไหน จะหยิบยกเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์มาร้อยเรียงเรื่องราวโดยผนวกกับบริบทของไทยเพื่อมาเล่าผ่านหน้าจอได้อย่างไร วันนี้ผู้เขียนได้คำตอบแล้วจากการไปดูหนังเรื่อง ‘Taklee Genesis : ตาคลี เจเนซิส’ และจะมาบอกเล่าความรู้สึกผ่านบทความนี้ในฐานะผู้ชมคนนึงที่ซื้อตั๋วเข้าไปดูแบบปกติ ไม่ได้รับเงินค่ารีวิวแต่อย่างใด ผ่านเลนส์ของคนที่ทำสื่อด้านวิทยาศาสตร์ แต่ต้องขอเตือนก่อนว่าจะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญในหนัง ใครที่ไม่อยากโดนสปอยล์ขอแนะนำให้ข้ามบทความนี้ไปก่อนได้เลย
Taklee Genesis เป็นหนังในการกำกับของคุณมะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล บอกเล่าเรื่องราวของ หล้า หรือ สเตลล่า (พอลล่า เทเลอร์) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่คุณพ่อของเธอหายลึกลับไปในป่าที่หมู่บ้านดอนหายอย่างไร้ร่องรอย ได้รู้ข่าวเกี่ยวกับอาการป่วยของแม่จาก อิษฐ์ (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล) เพื่อนในสมัยเด็ก เธอจึงต้องพาลูกสาวของเธอ วาเลน (ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน) เดินทางกลับบ้านเกิดที่หมู่บ้านดอนหาย ซึ่งในครั้งนี้เธอได้ทราบเบาะแสสำคัญที่นำไปสู่การตามหาคุณพ่อจากคุณแม่ของเธอว่า “หนึ่งคือ ให้เอากำไลไปเก็บแหวนที่ดอนหาย สอง ให้เอาไปเปิดเครื่อง ตาคลี เจเนซิส ที่ค่ายรามสูร สาม ให้ใส่พิกัดที่เขาให้มาให้แล้วจะสามารถเดินทางไปพบพ่อได้” ทั้งหมดนี้มันอาจจะฟังดูง่ายและตรงไปตรงมา แต่ใครจะไปรู้ว่ามันคือจุดเริ่มต้นแห่งการผจญภัยที่นำมาสู่ความโกลาหลวุ่นวายจนยากเกินที่จะจินตนาการได้

ความเชื่อ เป็นสิ่งที่ข่มให้เราหวาดกลัว
หนังพาเราเข้าสู่จุดเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงความเชื่อของผู้คนในหมู่บ้านดอนหายที่ว่า “1 ปี ในโลกคน เท่ากับ 1 วัน ในโลกผี” หากผีไม่ได้รับการสังเวยในทุกวัน (โลกผี) มันจะกลับมาฆ่าล้างทุกคนในหมู่บ้าน เลยเป็นเหตุให้ผู้คนในหมู่บ้านดอนหายจะต้องทำพิธีกรรมสังเวยให้กับภูติผีเหล่านี้ทุกปี
หนังได้ค่อยๆ สร้างความหวาดกลัวในใจของผู้ชมผ่านบรรยากาศที่ชวนขนลุก และไม่น่าไว้วางใจอยู่เรื่อยๆ ทั้งเสียงกรีดร้องของภูติผีที่ดังมาจากในป่า พฤติกรรมแปลกๆของผู้ใหญ่บ้านที่ชอบหันกลับไปมองในป่าบ่อยครั้ง ในขณะเดียวกันก็ชวนตั้งคำถามว่า มันเกิดอะไรขึ้นในป่าแห่งนี้กันแน่ ยิ่งผ่านมาถึงช่วงที่เกิดปรากฏการณ์ประหลาด เช่น มีแสงวาบมาจากฟ้าในช่วงค่ำคืน ศพจำนวนมากที่ตกมาจากฟ้าเหมือนกับฝน รวมไปถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับของพ่อของสเตลล่า ก็ยิ่งทวีความสงสัยให้กับผู้เขียนเพิ่มอีกหลายเท่าตัว
และเมื่อเรื่องราวผ่านไปจนถึงช่วงกลางเรื่อง เราจะเริ่มเข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลของมันว่า ภายในป่าที่หมู่บ้านดอนหาย แท้จริงแล้วคือฐานทัพที่อเมริกามาสร้างไว้ในช่วงสงครามเวียตนามเพื่อการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในช่วงนั้น และปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดที่พูดถึงก็มีคำอธิบายทางวิทยาศาตร์ที่พอจะสามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่เรื่องภูติผีปีศาจอย่างที่เค้าว่ากันแต่อย่างใด อย่างเรื่องแสงวาบและที่มีศพตกลงมาก็เกิดจากการที่ประตูมิติมันถูกเปิดออกและศพที่จำนวนมากที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในอีกมิติเวลานึงจึงตกลงมา ต้องขอชมเชยว่าหนังมีวิธีการผนวกความเป็นวิทยาศาสตร์เข้ากับวัฒนธรรมไทยได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการเล่นกับความเชื่อเรื่องภูติผีที่เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน รวมไปถึงปรากฎการณ์ต่างๆที่ดูเหนือธรรมชาติ และใช้วิทยาศาสตร์ในการพยายามอธิบายเรื่องที่ดูเหนือธรรมชาติเหล่านั้นให้ดูสมเหตุสมผลขึ้นมาได้
สิ่งที่ผู้เขียนตีความได้จากสิ่งที่หนังเล่าในประเด็นนี้ ก็คือ ต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้สิ่งเหล่านี้มันน่ากลัวอาจจะมาจาก ‘ความไม่รู้’ ของเรา ที่ทำให้เราคล้อยตามเรื่องเล่าต่างๆ จนนำมาสู่ความเชื่อเหล่านี้ที่ทำให้พวกเราหวาดกลัวได้ในที่สุด


เครื่องวาร์ปบอล การเดินทางข้ามเวลา และการสื่อสารข้ามมิติ
น่าจะเป็นกุญแจหลักในการดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้เลยก็ได้ นั่นคือ ‘วาร์ปบอล’ เจ้าปัญหาลูกนี้นี่เอง และสิ่งนี้แหละที่ทำให้ภารกิจการตามหาพ่อของสเตลล่ามันยากและวุ่นวายกว่าที่คิด เพราะมันมีชิ้นส่วน 2 ชิ้นที่ขาดหายที่ทำให้เจ้าเครื่องวาร์ปบอลนี้ทำงานได้อย่างไม่สมบูรณ์ ชิ้นนึงจะต้องย้อนเวลากลับไปช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ 5000 ปี ส่วนอีกชิ้นจะอยู่ในช่วงอีก 200 ปี นับจากปัจจุบัน เมื่อนำมาประกอบกัน เครื่องวาร์ปบอลนี้ก็จะกลับมาทำงานเป็นปกติได้
การอธิบายการทำงานของส่วนประกอบของวาร์ปบอลว่าแต่ละวงแหวนคืออะไรและทำงานอย่างไรเป็นหนึ่ง ในสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในหนังเรื่องนี้สำหรับผู้เขียน แน่นอนว่าแนวคิดเรื่องของการเดินทางข้ามเวลา ข้ามมิติ หรือการวาร์ป ไม่ใช่เรื่องที่ใหม่ในโลกของหนังไซไฟ แต่ไม่บ่อยนักที่หนังจะมีการอธิบายกลไกการทำงานของมันอย่างละเอียดว่าทำงานอย่างไรโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็แน่นอนว่าจะต้องตามมาด้วยคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วผ่านตัวละครที่พูดถึงมันแบบตรงไปตรงมาจนอาจจะทำให้ผู้ชมที่ไม่ได้มีพื้นฐานความรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อนรู้สึกสับสนกับมันอยู่พอสมควร และนี่คือสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นแผลที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ แต่ส่วนนึงก็เข้าใจว่าด้วยสเกลหนังที่ใหญ่ขนาดนี้ และพยายามจะใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันไปอธิบายทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง มันควรจะต้องใช้เวลานาน การที่หนังมีเวลาเล่าเรื่องจำกัด มันก็พอจะเข้าใจกันได้
ขอพูดถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวกับการทำงานของเข้าวาร์ปบอลลูกนี้กันหน่อย วงแหวนที่เป็นส่วนประกอบของวาร์ปบอล จะถูกแบ่งแยกออกเป็น 5 วง โดยทำหน้าที่ต่างกัน ดังนี้
วงแรกคือ Gravity controller นี่จะเป็นตัวเปิดหลุมดำสำหรับวาร์ปผู้ใช้งานไปสู่มิติเวลาอื่น
โดยจะมีผลมาจากสามวงถัดมาได้แก่ Galactic latitude, Galactic longitude และ Galactic time ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ใช้งานตั้งค่าได้ว่าจะไปอยู่ในช่วงเวลาไหนผ่าน Galactic time และพิกัดตำแหน่งอะไรผ่าน Galactic longtitude และ Galactic longtitude โดยค่าทั้งสามจะถูกปรับผ่านการขยับนิ้วมือของผู้ใช้งาน
และวงสุดท้ายคือ Entanglement communicator นี่คือส่วนหลักที่ทำให้เกิดการสื่อสารข้ามมิติกันได้ผ่านหลักการของความพัวพันเชิงควอนตัม (Quantum entanglement) ซึ่งหากสนใจว่ามันว่าคืออะไร มีหลักการอย่างไร และถูกค้นพบได้อย่างไร สามารถไปตามอ่านได้ใน ‘บทความ nobel prize quantum entanglement’
การเปิดใช้วาร์ปบอลนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อ เรานำกำไลเข้าไปเชื่อมต่อกับวาร์ปบอล ก็จะสามารถวาร์ปไปในมิติเวลาที่ต้องการได้
ต้องยอมรับเวลาว่าไอเดียการออกแบบเครื่องวาร์ปบอลนี้มันน่าสนใจมาก แต่คำถามที่ตามมาให้ชวนคิดกันต่อก็คือ แล้วใครล่ะที่เป็นคนสร้างเครื่องนี้? ใครก็ตามที่สร้างเครื่องวาร์ปบอลนี้มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไหนกันแน่? และถ้าวาร์ปบอลไม่ได้ถูกสร้างมาแค่เครื่องเดียวล่ะ ทุกอย่างในจักรวาลจะวุ่นวายขนาดไหน?

ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมเลือน สู่การซ้ำรอยในอนาคต
สิ่งที่เจ้าเครื่องวาร์ปบอลนี้พาเราไปก็คือ การผจญภัยในเส้นเรื่องประวัติศาสตร์ที่อาจจะถูกลืมเลือน ทั้งช่วงอารยธรรมบ้านเชียง ไปจนถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา จนไปถึงการผจญภัยในอนาคตในช่วงยุคของ New U-Dawn (นิวอุดร) ที่กองกำลังฝ่ายต่อต้านที่เต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่กำลังต่อสู้อย่างสุดกำลังกับฝ่ายนครหลวง หนังได้แสดงให้เห็นถึงความสูญเสียในรูปแบบที่คล้ายกันที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต (เหตุการณ์ 6 ตุลา) ไปจนถึงอนาคต (เหตุการณ์ใน New U-Dawn) ผู้เขียนรู้สึกได้ว่าข้อความที่หนังเรื่องนี้กำลังจะสื่อสารไปยังคนดู คือ เรากำลังวนอยู่ในลูปเดิมๆ เป็นเหมือนกับวัฏจักรที่มักเกิดขึ้นซ้ำๆ ในเส้นเวลา (Timeline) ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการที่คนลืมเลือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตหรืออาจจะไม่ค่อยได้เรียนรู้จากมันก็ตาม โศกอนาถกรรมที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลา จึงกลับมาเวียนเกิดขึ้นซ้ำกับบริบทใหม่ในอนาคต เลยนำมาสู่คำถามสำคัญก็คือ เรากำลังส่งต่ออะไรให้กับคนรุ่นหลังบ้าง? เราควรจะเรียนรู้อะไรจากอดีตเพื่อที่จะไม่ให้มันเกิดซ้ำรอยขึ้นอีกในรุ่นลูกหลานของเรา?


เมื่อความสมเหตุสมผลพังทลายลง (Causality Breakdown) อะไรก็เกิดขึ้นได้
Causality breakdown คือสิ่งที่อธิบายถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาจากการใช้เครื่องวาร์ปบอลหลายๆครั้งจนทุกอย่างที่อยู่ในหนังมันอยู่เหนือการควบคุมไปแล้ว และเป็นคำที่ถูกพูดถึงค่อนข้างบ่อยในหนัง มันจึงเป็นหนึ่งในคำสำคัญที่ผู้เขียนจะไม่พูดถึงมันไม่ได้เลย
ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้กับคำนี้กันก่อน Causality breakdown หรือ สภาวะที่ความเป็นเหตุเป็นผลในธรรมชาติถูกทำลาย จนไม่สามารถใช้สามัญสำนึกปกติทั่วไปมาอธิบายได้ ยกตัวอย่างเช่น เราได้คำตอบก่อนเจอคำถาม เราสอบตกก่อนที่จะเดินเข้าห้องสอบ หรือเราเจ็บก่อนที่จะหกล้ม สิ่งเหล่านี้มันชัดเจนว่าเราไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายมันได้ เพราะความเป็นเหตุเป็นผลมันได้พังทลายไปแล้วนั่นเอง
สิ่งที่เป็นผลมาจาก Causality breakdown ในหนังที่ผู้เขียนสังเกตได้คือการที่มีไดโนเสาร์กำลังต่อสู้กับแย้ยักษ์ในขณะที่ก็มีไคจูออกมาอาละวาดในเหตุการณ์เมืองอุดร มีไดโนเสาร์วาร์ปได้ใน New U-Dawn การมีซอมบี้ที่เดินเร่ร่อนอยู่ในยุคบ้านเชียง แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้มันยากที่จะหาความสมเหตุสมผลของมันได้ โดยเฉพาะเจ้าซอมบี้บ้านเชียงนี่แหละที่แม้กระทั่งผู้เขียนเองก็แอบประหลาดใจว่ามันมาได้ยังไง ทั้งหมดนี้ทำให้กลุ่มตัวละครเอกจึงต้องหาทางกลับไป reset ให้ทุกสิ่งกลับไปเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น
เมื่อเราดูไปถึงช่วงท้าย end credit เราก็พบกับต้นเหตุที่แท้จริงว่าซอมบี้มันมายังไง โดยเราจะเจอคนในยุคบ้านเชียงกำลังกินอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งผู้เขียนเดาว่าน่าจะเป็นน้ำแข็ง จากนั้นก็เริ่มดิ้นทุรนทุรายจนสุดท้ายก็กลายร่างมาเป็นซอมบี้ ผู้เขียนก็พอเข้าใจได้ว่าอาจจะเป็นเพราะอาจจะมี cosmic virus หรือไวรัสที่อยู่ในอวกาศมันข้ามมิติเวลามาและถูกแช่แข็งอยู่หรือเปล่า เมื่อถูกกินเข้าไปมันเลยเริ่มแพร่เชื้อและทำให้คนเป็นซอมบี้ หรือไม่แน่ว่าการที่มันมีไคจูหรือแย้ยักษ์พวกนี้อาจจะเป็นผลมาจากการกลายพันธุ์ของเจ้า cosmic virus พวกนี้ก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตั้งคำถามกับมันก็คือ หรือเพราะต้นเหตุของเรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาหลังจากที่ทุกอย่างมันถูก reset กลับไปสู่สิ่งที่มันควรจะเป็น เราเลยสามารถเห็นความสมเหตุสมผลของเรื่องเหล่านี้ได้ในช่วงท้ายสุดของหนังใช่หรือไม่?


จากความวุ่นวายระดับจักรวาล กลับไปสู่การตามหาแก่นแท้ของความเป็น ‘มนุษย์’
หนึ่งในฉากที่ผู้เขียนชอบที่สุดคือการที่สเตลล่าตัดสินใจ reset ทุกอย่างกลับไปเป็นแบบเดิม และจะมีฉากที่สเตลล่ากลับไปเป็นดวงดาว พ่อเป็นท้องฟ้า แม่เป็นต้นไม้ แล้วพูดคุยกันอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ มันชวนให้ผู้เขียนนึกตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่า ดวงดาว ท้องฟ้า ต้นไม้ ที่พูดคุยกันอยู่นั้น ยังคงมีความเป็น ‘มนุษย์’ อยู่หรือไม่ มันชวนให้เราคิดย้อนกลับไปตั้งคำถามถึงเรื่องพื้นฐานว่าแท้จริงแล้วความเป็น ‘มนุษย์’ นั้นคืออะไร ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งสามคน (หรือสามสิ่ง) นี้อาจจะไม่ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งในสภาพที่เราคุ้นเคย แต่มันก็ได้ทิ้งคำถามที่ชวนคิดต่อยอดได้น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพลง ‘คิดถึงบ้าน’ ที่เปิดตอนช่วง end credit ซึ่งเป็นเพลงที่ผู้เขียนเคยฟังเป็นประจำตั้งแต่ตอนเด็กๆ มันชวนให้นึกถึงบ้านเหลือเกิน และพอจะเข้าใจความรู้สึกของตัวละครเลยว่า พวกเค้าคิดถึงบ้าน ที่ไม่ใช่แค่บ้าน แต่คือการที่พวกเข้าได้อยู่ด้วยกันมากแค่ไหน
ความเชื่อ เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความหวัง และความหวังทำให้ชีวิตเรามีความหมาย
สุดท้าย สิ่งที่หนังพยายามจะสื่อสารกับคนดูตลอดก็คือ การมี ‘ความเชื่อ’ นำไปสู่การมี ‘ความหวัง’ หากเราเชื่อว่าเราทำได้ มันก็มีความหวังว่าเราจำประสบความสำเร็จ หรือถ้ามันไม่สำเร็จ อย่างน้อยมันก็ทำให้เราอยู่อย่างมีความหมาย เช่นเดียวกับการสร้างหนังเรื่องนึ้ขึ้นมา ที่ผู้เขียนรู้สึกได้ว่ามันต้องมาจากความเชื่ออย่างแรงกล้าจากผู้สร้างว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เป็นไปได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถอธิบายได้อย่างครบถ้วนจากการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็ตาม แต่ก็ไม่แน่ว่า ในอนาคตข้างหน้า อาจจะมีคนสามารถอธิบายเรื่องเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วนก็เป็นได้ แน่นอนว่าการเป็นหนังไซไฟ อาจจะไม่ได้มีความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ได้แบบ 100% แต่สิ่งที่มันมีคือการสร้างจินตนาการและแรงบันดาลใจนำไปสู่การต่อยอดความคิดได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้หรือไม่ แต่ผู้เขียนเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว และประสบความสำเร็จในการเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการหนังไทยไปแล้วเรียบร้อย มันไม่ใช่แค่สิ่งที่มาจากความเชื่อและความทะเยอทะยานของผู้กำกับและทีมงานเพียงเท่านั้น แต่ผู้เขียนมีความหวังว่าหนังเรื่องนี้จะสร้างแรงบันดาลใจและนำไปสู่ความทะเยอทะยานในการสรรค์สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในอนาคต