ย้อนกลับไปเมื่อ 17,000 ปีก่อน ณ ดินแดนปลายสุดของคาบสมุทรรูปรองเท้าบูท หรือ อิตาลี ที่เรารู้จักกันดีนั้น ได้มีทารกคนหนึ่งได้รับการฝังอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งด้วยพิธีศพอย่างเรียบง่าย ก่อนที่ต่อมาร่างของทารกน้อยนี้ได้ถูกค้นพบเมื่อปี 1998 โดยกลุ่มนักวิจัยชาวอิตาลี เนื่องจากโครงกระดูกถูกเก็บรักษาในถ้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ จึงสามารถรักษาสภาพไว้ได้เกือบสมบูรณ์ รวมไปถึงข้อมูลจีโนมของทารกผู้นี้ด้วย

หลังจากนั้น Mauro Calattini หนึ่งในทีมนักวิจัยก็ได้เริ่มทำการวิเคราะห์จีโนมของทารก เพื่อค้นหาความใกล้ชิดกับบรรพบุรุษกลุ่มอื่น ๆ ของมนุษย์ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เด็กเสียชีวิต
โดยในงานวิจัยของ Mauro Calattini เขาเผยว่ากระดูกของทารกถูกปกคลุมด้วยแผ่นหินอย่างระมัดระวัง ล้อมรอบด้วยข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในยุคนั้น ซึ่งมีแค่หลุมฝังศพเพียงหลุมเดียวในถ้ำเท่านั้น
นอกจากนี้โครงกระดูกก็ยังมีความสมบูรณ์อีกด้วย ทำให้เราคาดว่าเด็กคนนี้สูงประมาณสองฟุตครึ่ง หรือราว 75 เซนติเมตร ในขณะที่การตรวจทางทันตกรรมพบว่าทารกน่าจะมีอายุประมาณ 7 เดือนครึ่งไปจนถึง 18 เดือน โดยการตรวจอายุคาร์บอนแสดงให้เห็นว่าทารกคนนี้มีชีวิตอยู่ระหว่าง 16,910 – 17,320 ปี ซึ่งเป็นช่วงหลังผ่านจุดที่หนาวเย็นที่สุดของยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดเพียงไม่กี่ศตวรรษเท่านั้น
และเรื่องที่น่าทึ่งก็คือจากการถอดรหัสจีโนมกลับพบว่าทารกคนนี้มีผิวสีที่เข้มกว่าชาวยุโรปสมัยใหม่ แถมยังมีดวงตาสีฟ้าอ่อนอีกด้วย ซึ่งทำให้ทารกผู้นี้อาจเป็นบรรพบุรุษของกลุ่ม Vallabruna ที่เป็นกลุ่มคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วง 14,000 ปีก่อน ก่อนที่ในเวลาต่อมาลูกหลานของสายของบรรพบุรุษกลุ่มนี้เริ่มอพยพขึ้นไปยังยุโรปจากคาบสมุทรอิตาลีตอนใต้ และค่อยวิวัฒนาการให้สีผิวค่อย ๆ ขาวขึ้นในที่สุดเรื่องสังเคราะห์วิตามินจากแดดมีอยู่น้อยในยุโรปตอนเหนือให้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้จีโนมยังระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อหัวใจมีความหนากว่าปกติ ที่อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวร้ายแรงได้ เช่นเดียวกันการวิเคราะห์ฟันของทารกเผยให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลน และความเครียดของแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์ เรียกได้ว่าการศึกษาในครั้งนี้ได้ช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจบรรพบุรุษยุคน้ำแข็งได้เพิ่มขึ้น และเติมเต็มชิ้นส่วนที่ขาดหายไปของปริศนาแห่งยุคน้ำแข็งก็ว่าได้