เนื้อเรื่องโดย ภาราดา แววเส็ง
ในช่วงเวลานี้เราอาจจะเห็นข่าวที่แม่น้ำที่เต็มไปด้วยปลาหมอสีคางดำหรือพื้นที่อุทธยานแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยนกยูงอินเดียที่พร้อมจะส่งต่อพันธุกรรมจากแดนภารตะสู่นกยูงในสยามประเทศจากข่าวช่องต่าง ๆ โดยปลาหมอสีคางดำและนกยูงอินเดียก็ล้วนแต่เป็น “ชนิดต่างถิ่นหรือเอเลี่ยนสปีชีส์” ที่มีความสามารถรุกรานระบบนิเวศในประเทศไทยได้ทั้งคู่
ชนิดต่างถิ่นคืออะไรกันล่ะ ?
มาจากไหน ?
มันส่งผลอะไรกับระบบนิเวศ ?
และมันส่งผลกับเราด้วยหรอ ?
เริ่มต้นจากตัวเรา!
ปัญหาการระบาดของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เมื่อเดือนหรือปีก่อน แต่มันเริ่มต้นพร้อมการเริ่มย้ายถิ่นฐานของมนุษย์ และ ‘ได้นำสิ่งมีชีวิตติดไปด้วย’ ไม่ว่าจะเพื่อเป็นเพื่อน เป็นอาหารหรือกระทั่งด้วยความบังเอิญ นั่นทำให้กลไกสำคัญของการจะเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นนั้นคือ “มนุษย์” ซึ่งเปรียบดั่งกุญแจสำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นถูกพาไปอีกพื้นที่หนึ่งอย่างผิดธรรมชาติ
หลายคนอาจจะกล่าวว่า ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นมันก็มีเยอะแยะหรือเปล่าที่ไม่ได้ส่งผลกระทบ แครอทก็มาจากต่างประเทศ พริกและมะละกอในส้มตำรสแซ่บก็มาจากเม็กซิโก มันก็ไม่ได้ไประบาดให้น่ากังวลไม่ใช่หรอ แต่มันก็มีไม่น้อยที่สามารถรุกรานจนเกิดเป็นปัญหาได้
ระบบนิเวศประกอบด้วยทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งในส่วนของสิ่งมีชีวิตนั้น ก็มีมากมายจนเกิดเป็นความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนระบบนิเวศให้ดำเนินต่อไปอย่างปกติ แต่ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นบางชนิดกับมีความสามารถมากพอที่จะทำลลายสมดุลเดิมของระบบนิเวศ ซึ่งทำลายความหลากหลายที่มีอยู่เดิมให้ล่มสลาย เช่น งูหลามพม่าที่ถูกนำเข้าไปในฟลอริดา เมื่อหลุดออกสู่ระบบนิเวศ ก็สามารถสืบพันธุ์ตั้งถิ่นฐานและกินสัตว์ท้องถิ่นตั้งแต่นกจนถึงอัลลิเกเตอร์ที่ตัวใกล้เคียงกับมัน เนื่องจากงูหลามพม่ามีผู้ล่าที่น้อยในฟลอริดาและสิ่งมีชีวิตอย่างนกน้ำในพื้นที่ไม่มีสามารถปรับตัวหรือหนีงูหลามพม่าได้, ปลาซักเกอร์ที่กินไข่ปลาท้องถิ่นและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว, หอยกระพงที่มีการกินแบบกรองกินทำให้น้ำใสจนแสงส่องลงถึงพื้นน้ำเป็นสาเหตุให้พืชและสาหร่ายใต้น้ำเจริญเติบโตได้ดีเกินไป ตลอดจนกรณีคลาสสิคอย่างงูแส้หางม้าสีน้ำตาลที่เข้าระบาดในเกาะกวม เพราะมันติดไปกับเครื่องบิน จนทำให้นกบนเกาะสูญพันธุ์ไปหลายชนิด
จะเห็นได้ว่าจากน้ำมือของมนุษย์ ได้สร้างความเสียหายมหาศาลแก่ระบบนิเวศโดยไม่ได้ตั้งใจทั้งสิ้น ดังนั้นปัญหาสิ่งมีชีวิตผู้รุกรานจึงเป็นปัญหาที่พวกเราควรให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งก่อนที่มันสายเกินแก้ไขในอนาคต
อย่างไรก็ตามระบบนิเวศก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่จะล่มสลายทลายลงในทันที เนื่องจากระบบนิเวศมีสิ่งที่เรียกว่า “resilience” หรือ “ความสามารถในการทนทานต่อความเปลี่ยนแปลง” ซึ่งประกอบจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ขนาดของพื้นที่ สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และความหลากหลายทางชีวภาพ แต่สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำลายได้เช่นกันถ้าถูกทำลายหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นมากเกินกว่าจะต้านทานหรือมีความเปราะบางสูง เช่น ระบบนิเวศที่มีเพียง พืชท้องถิ่น, กวางและหมาป่า ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งหายไป จะเกิดเหตุการณ์ ได้แก่
- ถ้าพืชท้องถิ่นหายไป กวางจะลดลงและหมาป่าจะลดลง
- ถ้ากวางหายไป พืชจะเพิ่มขึ้นหมาป่าจะลดลง
- ถ้าหมาป่าหายไปกวางจะเพิ่มขึ้นและพืชท้องถิ่นจะลดลง
ถ้าเกิดว่ามีสิ่งมีชีวิตที่กินกวางเช่นเดียวกับหมาป่า เมื่อหมาป่าหายไป สิ่งมีชีวิตนั้นจะเพิ่มจำนวนแทนที่หมาป่าที่หายไปแต่กวางอาจจะมีประชากรเท่าเดิม จะเห็นได้ว่า ถ้ามีความหลากหลายทางชีวภาพเพียงพอหรือมากพอก็จะช่วยชะลอหรือป้องกันการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศได้
ดังนั้นการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างปลากระพงขาวลงสู่แหล่งน้ำที่มีปลาหมอสีคางดำระบาดเพื่อคอยควบคุมประชากรของปลาหมอคางดำอาจเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความเสียหายเนื่องจากจำนวนของปลาหมอคางดำจะไม่เพิ่มขึ้นเกินกว่าสมดุล แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงเนื่องจากปลานักล่าบริโภคสัตว์น้ำอื่น ๆ นอกจากปลาหมอคางดำซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ จึงทำให้มีโอกาสส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำท้องถิ่นได้ในอนาคต
ผลกระทบต่อมนุษย์
“ในเมื่อระบบนิเวศมีกลไกในการรักษาสมดุลแล้ว แบบนี่จะมีผลกระทบอะไรต่อมนุษย์ที่อยู่อาศัยในระบบนิเวศนี่กัน??” นี่อาจจะเป็นคำถามที่ท่านผู้อ่านอาจคิดเมื่ออ่านมาถึงจุดนี้
คำตอบของคำถามนี่ ทางผู้เขียนขอกล่าวยกตัวอย่างเหตุการณ์และผลกระทบต่อมนุษย์มา 3 เหตุการณ์ดังนี้
- ปลาสิงโตที่เข้าระบาดในในแถบทะเลแคริบเบียน ตลอดชายฝั่งฟลอริดา และหมู่เกาะต่างๆในมหาสมุทรแอตแลนติก จนทำให้ผลผลิตทางประมงลดลง เนื่องจากปลาสิงโตกินลูกปลาหรือปลาขนาดเล็ก จนทำลายห่วงโซ่อาหารในพื้นที่
- หอยเชอร์รี่ระบาดในพื้นที่นาข้าวและกินยอดอ่อนต้นข้าวจนเกิดความเสียหายต่อผลผลิตข้าว
- การระบาดของเลมเพรย์เข้าสู่ Great Lakes เนื่องจากการขุดคลองเข้าทะเลสาบ ทำให้จำนวนปลาท้องถิ่นที่เป็นแหล่งอาหาร ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จากทั้งสามกรณีนี้จะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่กลับมาสู่มนุษย์ ซึ่งก็คือต้นเหตุของปัญหาการแพร่การจายของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ไม่ว่าชนิดพันธุ์นั้นจะระบาดหรือยังไม่ระบาด หรือแม้จะยังไม่เข้ามาในพื้นที่ เราทุกคนมีส่วนที่จะช่วยในการป้องกัน เป็นหูเป็นตา จัดการมันก่อนที่จะแพร่ระบาดแล้วกลายเป็นสิ่งที่กลับมาทำร้ายเราเองในอนาคต
สรุปแล้วการจัดการเอเลี่ยนสปีชีส์เป็นเรื่องสำคัญหรือยัง ?
อ้างอิง
- การจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (ผศ. ดร.รัฐชา ชัยชนะ)
- https://www.e-education.psu.edu/geog30/node/398