เชื้อ HIV ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของประชากรโลกจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกเมื่อปี 2019ยืนยันว่าพบผู้ป่วยกว่า 38 ล้านคนและพบการติดเชื้อใหม่ 1.7 ล้านรายต่อปีและมีผู้เสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนของโรคกว่า 690,000 คนในปีเดียวกัน ซึ่งตลอดมาเรามีมาตราการเพื่อลดจำนวนการติดเชื้อโดยการใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ การให้องค์ความรู้เกี่ยวกับโรค HIV การเร่งการเข้าถึง PrEP แต่ทว่าก็ยังพบการติดเชื้อดังนั้นจึงมีการทดลองเพื่อผลิตวัคซีน VIR-1388 ซึ่งจะถูกใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ในอีกกระบวนการหนึ่ง

ในปัจจุบันตัววัคซีนได้เข้าสู่การทดลองเฟส 1 โดยการฉีดในประชากรอาสาที่ถูกเลือกในอเมริกาและแอฟริกา โดยการทดลองนี้มีขึ้นเพื่อประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนต่ออัตราการติดเชื้อใหม่
ซึ่งวัคซีน VIR-1388 นี้มีจุดมุ่งหมายที่จะกระตุ้นให้ที-เซลล์ซึ่งอยู่ในระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำเชื้อไวรัส HIV และส่งสัญญาณบอกระบบภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อเรือรัง โดยทีมพัฒนาได้เลือกใช้เอา cytomegalovirus (CMV) เป็นเวกเตอร์ในวัคซีน กล่าวคือการใช้ไวรัส CMV ที่อ่อนแอทำหน้าที่นำพาวัคซีนเข้าสู่ระบบภูมิคุ้มกันโดยไม่ก่อโรคซึ่งโดยตามปกติแล้วประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อไวรัส CMV อยู่ภายในร่างกายโดยไม่มีการก่อโรคมนุษย์ โดยผู้ติดเชื้อ CMV ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการแม้ว่าจะเชื้ออาศัยอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิตก็ตาม ด้วยคุณสมบัติที่เชื้อ CMV สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันในร่างกายไปตลอดชีวิตทำให้มีความเหมาะสมในการเก็บวัคซีนไว้ในร่างกายให้นานขึ้นได้

โดยในการทดลองเฟส 1 นี้จะจัดขึ้นที่อเมริกาและแอฟริกาโดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่ไม่มีเชื้อ HIV 95 รายและอาสาสมัครต้องมีเชื้อ CMV อยู่ในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการเท่านั้นและกลุ่มตัวอย่างจะแบ่งเป็น 4 กลุ่มโดย 3 กลุ่มแรกจะได้รับวัคซีนในปริมาณที่แตกต่างกันและอีกกลุ่มจะได้รับยาหลอก จากคาดการณ์ผลการทดลองจะแสดงในปีค.ศ. 2024 และจะมีการติดตามผู้ได้รับวัคซีนไปอีก 3 ปีหลังได้รับวัคซีนเข็มแรก