ปี 2024 ถือเป็นปีที่หนักหน่วงอีกปีหนึ่งสำหรับใครหลาย ๆ คนรวมไปถึงโลกของเรา อันเนื่องมาจากสถานการณ์ภาวะโลกเดือดที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยในปี 2024 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้โลกของเรามีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นจากเดิม 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นเพดานสูงสุดตาม ‘ข้อตกลงปารีส’ ที่นำมาสู่เหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ ตามมาเป็นลูกโซ่ตลอดทั้งปี โดยในวันนี้เราจะมา ‘2024 Wrapped on Climate chang’ กันว่าตลอดปี 2024 นี้เกิดอะไรขึ้น?
จากรายงานของนักวิจัยในโครงการ World Weather Attribution (WWA) และ Climate Central กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงขึ้น 26 เหตุการณ์จากทั้งหมด 29 เหตุการณ์ที่ได้ทำการศึกษา ซึ่งนำพามาสู่การเสียชีวิตของคนกว่า 3900 คน และการไร้บ้านกว่าหลายล้านคน นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าโลกของเราต้องเผชิญกับวันที่อากาศร้อนมากที่สุดถึง 41 วัน

ที่มา : World Weather Attribution & Climate Central
ร้อนเกินกว่าจะรับได้
โดยในช่วงต้นปี 2024 โลกของเราได้ทำสถิติอุณหภูมิสูงสุดต่อเนื่องจากปีที่แล้วถึง 13 เดือน ซึ่งวันที่ร้อนมากที่สุดคือ 22 กรกฎาคม อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็ยังเชื่อว่าข้อตกลงปารีสที่เราทำไว้ยังไม่ได้ประสบความล้มเหลว เนื่องจากต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพื่อที่โลกของเราจะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นทะลุ 1.5 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตามนี้ยังถือเป็น ‘คำเตือนว่าเรากำลังเข้าใกล้ระดับอันตรายแล้ว’
ปรากฎการณ์เอลนีโญ ซึ่งเกิดจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก ส่งผลให้อากาศร้อนขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี เมื่อรวมเข้ากับอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิของโลกทำลายสถิติได้หลายครั้ง โดยประเทศที่เผชิญกับผลกระทบของโลกที่ร้อนขึ้นมากที่สุดคือ ประเทศในแถบหมู่เกาะขนาดเล็ก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเล และพายุที่โหมกระหน่ำตลอดทั้งปี รวมไปถึงวิกฤติความร้อนที่อันตรายเพิ่มขึ้นมากกว่า 130 วันในปี 2025
พายุที่โหมกระหน่ำ
ผลต่อเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงจนทำลายสถิติอย่างต่อเนื่องส่งผลให้อัตราการระเหยของน้ำมากขึ้น จนระดับความชื้นพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองบ่อยครั้ง ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงเน้นย้ำว่ามาตราการการเตือนภัยพายุฝนฟ้าคะนองและน้ำท่วมเป็นสิ่งสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายนพายุบอริสอันเป็นสาเหตุของฝนตกหนักนาน 4 วันติดต่อกันในยุโรปกลาง แต่ด้วยการเตือนภัยล่วงหน้าส่งผลให้มีการการระบายน้ำเพื่อรองรับน้ำฝน และแนวป้องกันน้ำท่วม รวมถึงการอพยพล่วงหน้าส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไม่ถึง 30 ราย ในขณะที่ซูดาน ไนจีเรีย ไนเจอร์ แคเมอรูน และชาดเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีการเตือนภัยและรับมือ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2,000 รายและผู้คนหลายล้านคนต้องอพยพ

ที่มา : World Weather Attribution & Climate Central
กลุ่มวิจัยของ WWA ยืนยันว่าหากอุณหภูมิโลกยังพุ่งสูงขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียส ภูมิภาคที่ได้กล่าวมาจะเผชิญกับอุทกภัยที่มีความรุนแรงแบบนี้ในทุกปี
Julie Arrighi ผู้อำนวยการโครงการของศูนย์ภูมิอากาศของสภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงกล่าวว่า “การศึกษาของเรายังคงแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มความพร้อมสำหรับสภาพอากาศเลวร้ายเพื่อลดการสูญเสียชีวิตและความเสียหาย ในปี 2025 สิ่งสำคัญคือทุกประเทศต้องเร่งความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
พายุที่พัดไปทิ้งไว้แต่การสูญเสีย
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าอุณหภูมิที่สูงของโลก ส่งผลให้ระดับความรุนแรงของพายุทวีความรุนแรงขึ้นจนมีความรุนแรงมากกว่าระดับ 3 (สูงสุดที่ระดับ 5) โดยภายในปี 2024 ประเทศฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นถึง 6 ลูกติดต่อกันตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งมี ‘ซุปเปอร์ไต้ฝุ่น’ ถึง 3 ใน 6 ลูกส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบ 13 ล้านคน และคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 160 ราย นักวิจัยจาก WWA ยืนยันว่าพายุไต้ฝุ่นใหญ่ 3 ลูกหรือมากกว่าจะพัดขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์ในแต่ละปีเพิ่มขึ้นประมาณ 25% เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์

ภัยแล้งและไฟป่า
อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลให้เกิดภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากการสูญเสียน้ำที่ทวีความรุนแรงขึ้นในดิน โดยเกาะซิซิลีและซาร์ดิเนียของอิตาลีประสบกับภัยแล้งรุนแรงซึ่งส่งผลให้มีการปันส่วนน้ำและสูญเสียพืชผลข้าวสาลีเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งป่าดงดิบอย่าง ‘อะแมซอน’ เองก็ยังต้องเผชิญกับภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงในปีนี้ อันเป็นสาเหตุของการตายของต้นไม้ในป่าฝน โดย Regina Rodrigues ศาสตราจารย์ด้านสมุทรศาสตร์กายภาพและสภาพภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยแห่งสหพันธ์บราซิลแห่งซานตาคาตารินา กล่าวว่าภัยแล้งที่เลวร้ายลงอาจทำให้ป่าแอมะซอนแห้งแล้งอย่างไม่สามารถกลับคืนได้ ส่งผลให้การไหลของความชื้น ความสามารถในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอน รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพของป่าลดลง
นอกจากนี้ความแห้งแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นยังเป็นเชื้อไฟที่ดีในการเกิดไฟป่าในหลายภูมิภาค ทำให้ในปี 2024 นี้เป็น ‘ปีที่เกิดไฟป่าบ่อยครั้งมาก’ โดยเฉพาะในทวีปอเมริกา ตั้งแต่พื้นที่ชุ่มน้ำปันตานัลที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในชิลีและบราซิล ไปจนถึงแคนาดาตะวันตกและสหรัฐอเมริกา

รายงานระบุว่าควันจากไฟป่าในอเมริกาเหนือส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศทั่วทั้งภูมิภาคและไกลถึงยุโรป โดยการวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่าจำนวนผู้คนที่เสียชีวิตเนื่องจากการสูดดมควันจากไฟป่ากำลังเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน
ทั้งนี้แม้สถานการณ์โลกร้อนในปี 2024 นี้จะมีความรุนแรงมาก แต่ก็ไม่ได้สายเกินที่จะแก้ไข ฟรีเดอริเก อ็อตโต หัวหน้า WWA และอาจารย์อาวุโสด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสภาพอากาศที่ Imperial College London กล่าวว่า ‘ความทุกข์ทรมานที่ไม่อาจบรรเทาได้’ สามารถบรรเทาลงได้ หากเราหยุดเผาถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ ใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทน และปรับตัวให้เข้ากับผลกระทบจากสภาพอากาศ รวมทั้งการตั้งปฎิธานสูงสุดสำหระบปี 2025 ไว้ว่า ‘ปี 2025 ต้องเป็นการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและมีเสถียรภาพมากขึ้น’
อ้างอิง
https://www.climatechangenews.com/2024/12/27/2024-a-year-of-extreme-heat-and-growing-climate-danger/