การทำงานสื่อ หรืองานที่ต้องใช้การสื่อสาร สำหรับทุกวันนี้เป็นเรื่องท้าทายมากเพราะทุกคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต เป็นคนที่เข้าถึงพื้นที่สื่อเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นสื่อเจ้าใหญ่ ๆ ก็สามารถทำงานสื่อสารได้ รวมถึงนักสื่อสารวิทยาศาสตร์อย่าง The Principia ด้วย ที่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการสื่อสารอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้คอนเทนต์ที่เราต้องการส่งถึงผู้อ่านทุกท่านมีความน่าสนใจ และเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากสื่ออื่น ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเรา The Principia ได้ไปร่วมงาน iCreator Conference 2023
iCreator Conference 2023 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2023 โดยงานที่ว่านี้เป็นอีเวนต์ที่รวบรวมสื่อ หรือที่สมัยนี้เรียกว่า ‘ครีเอเตอร์’ เอาไว้มากที่สุดงานหนึ่งของไทย เพื่อสร้างเสริมทักษะและประสบการณ์จากครีเอเตอร์รุ่นพี่ ผ่านเวทีเสวนา กิจกรรมเวิร์กชอป และคลินิกตอบปัญหาการทำสื่อรูปแบบต่าง ๆ โดยพวกเรา The Principia ได้ไปรับฟังการเสวนาของครีเอเตอร์มากประสบการณ์หลายคน รวมถึง ‘เฮียวิทย์’ โฮสต์รายการพ็อดแคสต์ชื่อดังอย่าง ‘8 Minute History’ ซึ่งเล่าทั้งที่มาของรายการดังกล่าว รวมถึงวิธีคิดในการทำงานของเฮียวิทย์เองด้วย วันนี้เราเลยอยากมาแบ่งปันให้ทุกคนได้รับรู้วิธีการสื่อสารสไตล์เฮียวิทย์ไปพร้อม ๆ กัน

“A good speech should be like a woman’s skirt: long enough to cover the subject and short enough to create interest.”
Winston Churchill
วินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยกล่าวไว้ว่า “A good speech should be like a woman’s skirt: long enough to cover the subject and short enough to create interest.” หรือแปลเป็นไทยว่า “สุนทรพจน์ที่ดีควรจะเป็นเหมือนกับกระโปรงผู้หญิง คือต้องยาวพอที่จะครอบคลุมเนื้อหาและสั้นพอที่จะสร้างความน่าสนใจ” ถึงแม้ว่ามันอาจจะฟังดูทะลึ่งสักเล็กน้อย แต่มันทำให้เราเข้าใจถึงเคล็ดลับข้อนึงในการนำเสนอได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือ ‘ความกระชับ’ นั่นเอง
นี่คือข้อความที่ ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน หรือ ‘เฮียวิทย์’ ได้หยิบยกมากล่าวระหว่างที่พูดถึงความสำคัญของเวลา (Timing) ในการนำเสนอ ที่เป็นกุญแจสำคัญในความสำเร็จของรายการประวัติศาสตร์ 8 นาที (8 Minute History) แน่นอนว่าจะให้มันครอบคลุมรายละเอียดในเชิงประวัติศาสตร์ทั้งหมดก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เฮียวิทย์บอกว่า คลิปความรู้ประวัติศาสตร์ที่เฮียวิทย์ทำ มันเป็นเหมือนกับสารบัญที่จุดประกายให้ผู้คนนำไปศึกษาหรือคิดต่อยอด เพราะเฮียวิทย์เชื่อว่าทุกคนสามารถหาความรู้ต่อไปเองได้หากต้องการศึกษาในเรื่องใดอย่างละเอียดลึกซึ้ง สิ่งที่สำคัญคือ คลิปความรู้นั้นจะต้องทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่า มันสามารถเข้าใจได้

เฮียวิทย์เล่าว่า เคยได้ยินจากครีเอเตอร์รุ่นพี่อีกคนชื่อว่า ‘สมเกียรติ อ่อนวิมล’ ที่กล่าวไว้ว่า “คนไทยชอบทำสารคดีแบบ เกิด แก่ เจ็บ ตาย” หมายถึงชอบเล่าเรื่องที่เรียงตามลำดับเวลา เป็นเส้นตรงมากเกินไป เช่น เล่าว่านี่ใคร ชื่ออะไร เกิดปีไหน ทำอะไรมาบ้าง ตายเมื่อไหร่ ซึ่งมันไม่น่าสนใจ เราควรจะดึงส่วนที่น่าสนใจบางส่วนมาไว้ช่วงต้นเพื่อตรึงความสนใจของผู้ฟัง เช่น ยกข้อความของบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราจะพูดหรือตั้งคำถามขึ้นมาเพื่อจุดประเด็นให้ผู้ฟังคิดตาม
เฮียวิทย์กล่าวว่า ในบางครั้งคลิปความรู้ที่ทำยาก ใช้เวลาเตรียมตัวหาความรู้เป็นเวลานาน อาจจะไม่ได้มียอดผู้ชมที่มากอย่างที่เราตั้งใจไว้ แต่ด้วยความที่เรามีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ทางประวัติศาสตร์ เราจึงจำเป็นต้องทำ เพราะคลิปความรู้ที่เราสร้างไว้มันไม่เหมือนหนังสือ หนังสือมันมีวันสลายไป แต่คลิปความรู้ที่เราตั้งใจทำไว้จะอยู่ในนั้นตลอดกาล มันอาจจะมีคุณค่าสำหรับใครบางคนสักวันหนึ่งก็ได้
เรื่องที่สำคัญมากที่เฮียวิทย์เล่าให้ฟังยังไม่หมด เฮียวิทย์ได้เล่าว่าการทำงานสื่อยุคก่อนคนฟังต้องเรียนรู้จากเรา ส่วนยุคนี้เราต้องเรียนรู้จากคนฟัง เพราะอินเทอร์เน็ตทำให้ทุกคนอยู่ในระนาบเดียวกัน มีคนที่คิดต่างจากเรา มีคนที่เก่งกาจกว่าเรา หรือมีคนนำเสนอเรื่องที่อยากรู้ให้เรา เราก็ควรรับฟัง เพื่อที่จะได้ทำการสื่อสารที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนมากที่สุด ไม่ใช่แค่ก้มหน้าก้มตาเล่าสิ่งที่เราอยากจะเล่าเท่านั้น นอกจากนี้ยังอ้างถึงคำพูดของ ‘ฟาโรส’ ที่ว่า “อย่าทิ้งคนดู อย่ารู้ทุกอย่าง” เพื่อให้การเล่าเรื่อง เราต้องคิดเสมอว่าคนฟังอาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เราเล่าเลย เราต้องทำหน้าที่คลี่คลายเรื่องเข้าใจยากเหล่านั้นออกมา หรือถ้าเกิดเป็นการสัมภาษณ์ เราก็ต้องดึงข้อมูลจากผู้ให้สัมภาษณ์ออกมาให้เยอะที่สุด ราวกับว่าเราไม่รู้เรื่องอะไรที่เขาเล่ามาก่อนเลย แม้ว่าเราอาจจะรู้ดีอยู่แล้วก็ตาม

ในช่วงท้ายของเสวนานี้ เฮียวิทย์พูดถึงตัวอักษรภาษาไทยทั้ง 44 ตัว ซึ่งจะเห็นได้ว่า ‘ง’ มาก่อน ‘ฉ’ หมายความว่า คนเรามักจะ ‘โง่’ ก่อน ‘ฉลาด’ เสมอ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะนำเสนอ เราไม่ต้องกลัวว่าเราจะดูโง่ ให้ลองทำไปก่อน แล้วเรียนรู้จาก feedback จากผู้ฟังของเรา
การทำเนื้อหาให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ กลับเป็นเรื่องที่ยากอย่างไม่น่าเชื่อ มันจึงเป็นศิลปะอย่างนึงที่ผู้นำเสนอจะต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่าความรู้ที่เอามาแบ่งปันจากเสวนาในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านในการทำให้เนื้อหาการนำเสนอกระชับ ง่ายต่อความเข้าใจ และน่าสนใจมากขึ้นอย่างแน่นอน
