Highlight
- มนุษย์ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียว ที่ดื่มนมหลังจากเลยวัยที่ต้องหยุดนมแล้ว รวมถึงยังเป็นชนิดเดียวที่ดื่มนมของสัตว์ชนิดอื่น
- มีหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มต้นบริโภคนมเมื่อประมาณ 9,000 ปีก่อน ก่อนที่ร่างกายจะสร้างเอนไซม์แลกเทสสำหรับย่อยน้ำตาลแลกโทสในนมได้เสียอีก
- ค่าเฉลี่ยส่วนสูงเด็กไทยลดต่ำลง จากปริมาณการบริโภคนม 18.6 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งน้อยกว่าประเทศอื่นมาก ๆ
- ผู้ที่ไม่ควรดื่มนมวัวคือ ผู้ที่มีการย่อยแลกโทสบกพร่อง ผู้ที่แพ้โปรตีนในนมวัว และผู้ที่กำลังจะกินยา
- คุณประโยชน์ของนมวัวนั้นคับแก้ว ทั้งช่วยเสริมกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคอ้วน รวมถึงช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้

“นม” เครื่องดื่มมหัศจรรย์ ที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่เรายังเป็นเด็กว่า ถ้าหากดื่มนมเยอะ ๆ แล้วตัวจะสูง ร่างกายจะแข็งแรง เพราะสารอาหารในน้ำนมนั้นมีเยอะมาก ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยเติมเต็มองค์ประกอบย่อยของโปรตีนที่เราไม่สามารถสังเคราะห์ได้เองในร่างกาย หลายเรื่องก็เลยฟังเป็นเรื่องดูดีหากจะเลือกหยิบนมสักขวดมาดื่มบ้าง แต่เคยตั้งคำถามกันไหมว่า นมที่เราดื่มนี่มันดีจริงไหม? ควรดื่มนมเยอะ ๆ จริงหรือไม่? แล้วทำไมบางคนดื่มนมแล้วถึงมีอาการไม่พึงประสงค์ได้? บทความนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง
คนเราดื่มนมตั้งแต่เมื่อไหร่
“น้ำนม” เป็นอาหารชนิดแรกที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมลิ้มรสตั้งแต่แรกเกิด ไม่ว่าจะเป็นเสือ สิงห์ กระทิง แรด หรือแม้แต่มนุษย์ เพราะในน้ำนมของแม่นั้นมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำตาลในน้ำนม นอกจากนี้น้ำนมของแม่ยังลำเลียงภูมิคุ้มกันและโปรตีนให้ลูกตัวน้อย ช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย รวมถึงทำให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงอีกด้วย แต่หลังจากที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเติบโตขึ้น มันจะหยุดกินนม แล้วกินอาหารอย่างอื่นเพื่อดำรงชีวิตกันต่อไป ยกเว้นแค่มนุษย์เท่านั้น ที่ยังคงดื่มนมที่ผลิตมาจากสัตว์อื่นต่อไปในวัยที่เจริญเติบโตแล้ว เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ในน้ำนม ทั้งโปรตีน แคลเซียม และวิตามินต่าง ๆ แต่รู้ไหมว่ามนุษย์เริ่มกินน้ำนมที่มาจากสัตว์อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?
ทุกวันนี้เรามีหลักฐานที่ค้นพบว่าอย่างน้อย 9,000 ปีก่อน มีชุมชนทางด้านตอนเหนือแถบเมดิเตอร์เรเนียน หรือในประเทศสเปน ฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ และตุรกีในปัจจุบัน มีหม้อปรุงอาหารที่มีคราบน้ำนมหลงเหลืออยู่ ทำให้เชื่อว่าผู้คนนสมัยนั้นมีการเริ่มต้นเลี้ยงสัตว์ทั้งแพะ แกะ และวัว เพื่อรีดเอาอาหารประทังชีวิตอย่างน้ำนม นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอีกว่าเมื่อ 6,000 ปีที่แล้ว ประเทศเคนยา ซูดาน และประเทศอังกฤษ มีการดื่มนมกันในชีวิตประจำวันเช่นกัน ซึ่งมีหลักฐานกะโหลกของเกษตรกรชาวอังกฤษที่มีคราบน้ำนมติดอยู่ตามซอกฟันด้วย หลักฐานดังกล่าวที่เล่ามา กำลังบอกพวกเราว่ามนุษย์เริ่มดื่มนมกันมานานมากแล้ว และที่จริงมนุษย์เริ่มดื่มนมกันมาตั้งแต่ก่อนจะมี “ยีนนม” เสียอีก

ที่มา University of York
ยีนนม คือชิ้นส่วนพันธุกรรมในร่างกายที่ทำให้มนุษย์สามารถสร้างเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยน้ำตาลโมเลกุลคู่ในน้ำนมได้ เพราะในน้ำนมจะมีน้ำตาลที่ชื่อว่า แลกโทส (Lactose) อยู่ ซึ่งเด็ก ๆ ในวัยดื่มนมแม่จะสามารถสร้างเอนไซม์ชื่อว่า แลกเทส (Lactase) ช่วยในการย่อยน้ำตาลเหล่านี้ แต่เมื่อเติบโตจนถึงวัยที่หยุดน้ำนมจากแม่แล้ว ร่างกายจะไม่สามารถสังเคราะห์เอนไซม์แลกเทสได้อีก ยกเว้นคนที่มียีนนม หรือที่มีชื่อว่ายีน LCT นั่นเอง แต่ว่าก่อนที่จะมียีนนม มนุษย์ส่วนใหญ่ในสมัยก่อนที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลในนมได้ ก็จะมีอาการท้องเสีย แต่ก็ยังคงบริโภคนมต่อไป เพราะสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ มนุษย์ทนกินนมที่ย่อยได้ไม่หมดจนร่างกายเริ่มวิวัฒนาการ ทำให้มนุษย์ในปัจจุบันสามารถย่อยนมได้ดีขึ้น เป็นผลดีที่ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถรับสารอาหารที่มีประโยชน์จากน้ำนมได้เต็มที่ ถึงขนาดที่ว่าเด็ก ๆ ทุกคนที่ดื่มนมได้ปกติ ควรดื่มนมทุกวันด้วย เพื่อให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีร่างกายที่แข็งแรง

ที่มา Evo-Ed
1 มิถุนายน วันดื่มนมโลก
วันที่ 1 มิถุนายนของทุกปี ถือเป็นวันดื่มนมโลก (World Milk Day) เพราะนมเป็นเครื่องดื่มที่ให้สารอาหารที่มีประโยชน์อย่างหลากหลาย องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ (The Food and Agriculture Organization, FAO) จึงได้กำหนดวันสำคัญนี้ขึ้นมา ซึ่งวันที่ 1 มิถุนายนนั้นไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรพิเศษ เพียงแค่องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติต้องการหาวันหนึ่งในทุกปี ที่จะทำให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการดื่มนมมากขึ้น และสนับสนุนให้ภาครัฐกับเอกชนจัดกิจกรรมส่งเสริมการดื่มนมให้ประชาชน เพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพของทุกคน และประโยชน์ของเกษตรกรโคนมในแต่ละประเทศ
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture, USDA) เผยแพร่พีระมิดอาหารเป็นครั้งแรก โดยเนื้อหาภายในระบุว่าควรดื่มนมทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งในปีเดียวกันนั้น ประเทศไทยมีการจัดตั้งโครงการนมโรงเรียนเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมสุขภาพ อนามัยของเด็กและเยาวชนในประเทศ สนับสนนุนให้เด็ก ๆ รักการดื่มนม รวมถึงช่วยสนับสนุนเกษตรกรโคนมให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน แต่ในปัจจุบัน กรมอนามัยเผยข้อมูลว่าเด็กไทยดื่มนมน้อย อยู่ที่เฉลี่ยครึ่งแก้วต่อวัน หรือประมาณวันละ 100 มิลลิลิตร และเมื่อคิดเป็นรายปี เด็กไทยดื่มนมเฉลี่ย 18.6 ลิตรต่อคนต่อปี โดยที่ประเทศอื่นอย่างญี่ปุ่นอยู่ที่ 32.1 ลิตรต่อคนต่อปี เกาหลีใต้ 30 ลิตรต่อคนต่อปี อินเดีย 59.6 ลิตรต่อคนต่อปี และเบลารุส ถือเป็นประเทศที่มีปริมาณการบริโภคนมต่อคนมากที่สุดในโลกในปี ค.ศ. 2021 ด้วยปริมาณ 114.9 ลิตรต่อคนต่อวัน ทำให้ความสูงเฉลี่ยของเด็กไทยลดลง ประเทศไทยจึงตั้งเป้าส่งเสริมให้เด็กไทยดื่มนมเพิ่มขึ้นเป็น 25 ลิตรต่อคนต่อวัน เพื่อให้ค่าเฉลียส่วนสูงของเด็กไทยเพิ่มมากขึ้น จากส่วนสูงเฉลี่ยเด็กอายุ 12 ปีเพศชาย 147.1 เซนติเมตรให้เป็น 152 เซนติเมตร ส่วนเพศหญิงจาก 148.1 เซนติเมตรให้เป็น 153 เซนติเมตร และจากส่วนสูงเฉลี่ยเด็กอายุ 19 ปีเพศชาย 170.9 เซนติเมตรให้เป็น 175 เซนติเมตร ส่วนเพศหญิงจาก 158.1 เซนติเมตรให้เป็น 165 เซนติเมตร ซึ่งนอกจากเรื่องส่วนสูงของเด็กแล้ว นมยังถือเป็นการเติมโภชนาการของเด็กให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ และทำให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง

ที่มา USDA
ประโยชน์ของ “นม”
สารอาหารที่มีประโยชน์ในน้ำนมนั้นมีมากมายหลากหลายชนิด โดยการดื่มนมวัว 1 แก้วหรือประมาณ 200 มิลลิลิตร จะได้รับโปรตีนประมาณ 15 – 20% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน และจะได้รับแคลเซียมประมาณ 24 – 30% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอ บี 1 และบี 2 ในปริมาณประมาณ 10% 20% และ 40% ของปริมาณที่ควรได้รับแต่ละวัน ตามลำดับ
อย่างที่รู้กันดีว่าการดื่มนมวัวนั้นมีประโยชน์ที่หลากหลาย อย่างแรกคือนมวัวช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง โดยเฉพาะในเด็ก เพราะนมวัวจะช่วยเสริมสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตได้ดีขึ้น ตัวสูงขึ้น จากสารอาหารที่อยู่ในนม ทั้งแคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินเค อีกทั้งนมวัวอาจยังช่วยป้องกันโรคอ้วนได้อีกด้วย เพราะการรับโปรตีนที่มีปริมาณมากในนม จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องนานขึ้น อาจช่วยป้องกันการรับประทานอาหารมากเกินไปได้ และการศึกษาบางส่วนยังพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารแคลเซียมสูงอย่างนมวัวมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนน้อยลงด้วย นอกจากนี้แคลเซียมในนมยังอาจส่งผลในการป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย

ที่มา The Principia
“นม” ดีจริง ๆ รึเปล่า?
ใช่ว่านมจะมีแต่ข้อดีเสมอไป ไม่ใช่ว่านมจะเหมาะสำหรับทุกคน ไม่ใช่ว่าจะดื่มเยอะแค่ไหนก็ได้ และไม่ใช่ว่าจะดื่มเวลาไหนก็ได้ อย่างเวลากินยาก็ไม่ควรกินพร้อมกับนม เพราะแคลเซียมในนมสามารถไปจับและลดการดูดซึมของตัวยาได้ ทำให้ยาที่กินเข้าไปออกฤทธิ์ไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้นมวัวยังอาจก่อให้เกิดอาการไม่สบายท้องเพราะย่อยนมวัวไม่ได้ รวมถึงอาการแพ้นมวัวด้วย
อาการจากการย่อยนมวัวไม่ได้นั้นแตกต่างจากอาการแพ้นมวัว อาการที่เกิดจากการย่อยนมวัวไม่ได้หรือการย่อยแลกโทสบกพร่อง (Lactose intolerance) อาจจะแน่นท้องเนื่องจากแก๊ส ผายลมบ่อย ปวดบริเวณท้องน้อย คลื่นไส้อาเจียน หรือถ่ายเหลวเป็นน้ำ โดยเอนไซม์แลกเทสสังเคราะห์ขึ้นที่เซลล์เยื่อบุลำไส้เล็กเท่านั้น สาเหตุของการย่อยแลกโทสบกพร่องจึงมาจากเซลล์เยื่อบุลำไส้เล็กสร้างเอนไซม์แลกเทสน้อยลง หรือไม่สร้างเลย เรียกว่าภาวะขาดเอนไซม์แลกเทส (Lactase deficiency) ซึ่งการที่เอนไซม์ดังกล่าวสร้างน้อย หรือไม่สร้างเลย ในคนที่มีปัญหาในการย่อยนมอาจเกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคติดเชื้อไวรัสโรต้า ที่มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ทำให้เซลล์เยื่อบุลำไส้เล็กถูกทำลายและลอกหลุดไป จึงสร้างเอนไซม์แลกเทสไม่เพียงพอจนเกิดภาวะพร่องเอนไซม์แลกเทส แต่เมื่อหายจากโรคและเยื่อบุลำไส้เล็กซ่อมแซมแล้ว การย่อยแลกโทสจะกลับสู่ภาวะปกติได้ นอกจากนี้ปัญหาการย่อยนมอาจเกิดจากพันธุกรรม ควรงดบริโภคนมหรือผลิตภัณฑ์ของนมที่มีน้ำตาลแลกโทส หรืออาจจำเป็นจะต้องรับน้ำย่อยแลกเทสสังเคราะห์
อาการแพ้นมวัว มักมาจากการแพ้โปรตีนในนมวัว เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนในนมวัวผ่านกลไกการแพ้ได้หลายทาง โดยแต่ละคนอาจมีระดับความรุนแรงและระยะเวลาในการเกิดอาการแพ้ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังพบการแพ้โปรตีนนมวัวผ่านนมแม่ได้ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันและระบบทางเดินอาหารในทารกยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาการแพ้อาจเกิดได้ที่ผิวหนังทำให้เป็นผื่นลมพิษ เกิดที่ระบบทางเดินหายใจทำให้คัดจมูกและน้ำมูกไหล เกิดที่ระบบทางเดินอาหารทำให้ปากบวมหรือท้องร่วงเฉียบพลัน และถ้ารุนแรงมากอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงเฉียบพลันทั่วทั้งตัว (Anaphylaxis) ซึ่งผู้ที่มีอาการแพ้โปรตีนในนมวัวอาจจะต้องงดการดื่มนมวัว และงดอาหารที่มีส่วนผสมเป็นนมวัว หรือสำหรับเด็กอายุ 1 ปีแรก ส่วนใหญ่ประมาณ 81 – 95% เมื่อเติบโตจนถึงอายุ 5 ปี อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายขาดได้เอง
ก่อนหน้านี้ เคยมีงานวิจัยจำนวนมากที่พบข้อมูลว่าการดื่มนมวัวมากเกินไปนั้นไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน และมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่ถกเถียงในประเด็นดังกล่าวกันอย่างยาวนาน โดยข้อมูลในปัจจุบันเริ่มเอนเอียงมาทางที่ว่าการดื่มนมนั้นเป็นผลดีในการป้องกันโรคกระดูกพรุนในทุกช่วงอายุ แต่เราก็ควรบริโภคนมในปริมาณที่พอดี ๆ ไม่ควรบริโภคมากเกินไปอยู่ดี
รักใคร ให้ดื่มนม
“นม” ก็ยังเป็นเครื่องดื่มมหัศจรรย์ ทั้งนมแม่สำหรับเด็ก และนมจากสัตว์อื่นสำหรับคนที่โตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนมแพะ นมแกะ นมวัว และนมควาย ก็ช่วยเสริมสร้างกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายต้องการ รวมถึงแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ได้ทั้งนั้น เพียงแต่ต้องเตือนตัวเองไว้เสมอว่า ตนเองย่อยนมวัวได้ไหม แพ้นมชนิดใดหรือไม่ และดื่มนมมากเกินไปหรือเปล่า แต่ถ้าใครไม่ชอบดื่มนมก็เป็นสิทธิของคุณ แต่อย่าลืมทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนด้วยนะ เช่น แคลเซียม ก็มีอาหารชนิดอื่นให้แร่ธาติชนิดนี้ได้เหมือนกันอย่าง บร็อคโคลี เป็นต้น ส่วนนอกเหนือจากนมแล้วก็อย่าลืมกินอาหารให้ครบห้าหมู่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงด้วยนะครับ เป็นห่วง~

อ้างอิง
นมคือยาพิษหรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ?
Got Milk? People Living 9,000 Years Ago Did, Ceramic Pots Show
British Farmers Were Drinking Milk 6,000 Years Ago
An Evolutionary Whodunit: How Did Humans Develop Lactose Tolerance?
Humans were drinking milk before they could digest it
กรมอนามัย เผย เด็กไทยดื่มนมน้อย เฉลี่ยเพียงครึ่งแก้วต่อวัน
Per capita consumption of fluid milk worldwide in 2021, by selected country (in kilograms)*
นมวัว ประโยชน์คับแก้ว กับหลากคุณค่าทางโภชนาการ
Dairy products and colorectal cancer risk: a systematic review and meta-analysis of cohort studies
ไขข้อข้องใจ..โรคแพ้โปรตีนนมวัวและการย่อยแลกโทสบกพร่อง ต่างกันอย่างไร?
ชัวร์ก่อนแชร์ : 5 เครื่องดื่มห้ามกินคู่กับยา จริงหรือ ?
Does Drinking Milk Help to Prevent Osteoporosis?
Milk and Osteoporosis — Is Dairy Really Good for Your Bones?