We are all humankind : Believe in the power of kindness
Henri Dunant
วันที่ 8 พฤษภาคม เมื่อประมาณ 194 ปีก่อน มีชายผู้หนึ่งลืมตาดูโลก เด็กหนุ่มผู้นี้ในภายภาคหน้าเค้าจะเป็นผู้ให้กำเนิดองค์กรที่สำคัญและมีเครือข่ายไปทั่วโลก “อองรี ดูนังต์” ผู้ก่อตั้งสภากาชาด (International Committee of the Red Cross : ICRC) ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อสันติภาพและผู้บาดเจ็บในภาวะสงคราม
จงรักเพื่อนบ้านของท่าน

ที่มา : Wikipedia
ท่ามกลางสงครามที่ดุเดือด ฝุ่นควันและดินปืนฟุ้งกระจายบดบังทัศนวิสัยจนไม่รู้วันรู้คืน นครที่เคยวิจิตรตระการตาก็มลายหายสิ้น คงเหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง รอบข้างมีเพียงเสียงปืนที่ดังสลับไปมา บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยเสียงโหยหวนและกลิ่นคาวเลือด ซึ่งเป็นผลของความทะเยอทะยานของคนเพียงไม่กี่คน แต่ผลกระทบกลับตกแก่เหล่าทหารที่ต้องเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอน ห่างไกลจากครอบครัว บางคนอาจกำลังเป็นพ่อของลูก เป็นสามีที่ดีของภรรยา เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แต่ทว่าทุกคนต่างต้องมาจับอาวุธเพื่อการฆ่าล้างฝ่ายตรงข้ามโดยไร้เหตุผล เหล่าทหารที่บาดเจ็บถูกหามเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่าแต่ก็แทบไม่ได้รับการรักษาอะไรเลย ทหารที่บาดเจ็บถูกพามายังโบสถ์ที่แออัดและยัดเยียดในขณะที่แพทย์มีเพียงไม่กี่คน วิ่งวุ่นไปมา
ในตอนนั้นเองที่ อองรี ดูนังต์ นักธุรกิจหนุ่มชาวสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คาดหวังจะเข้าเฝ้านโปเลียนที่ 3 เพื่อสัมปทานและเงินทุนสำหรับธุรกิจกังหันพลังงานน้ำซึ่งจะสร้างความมั่งคั่งให้เค้า ณ ดินแดนที่ห่างไกลจากสงครามได้เดินทางมายังสมรภูมิรบ เมื่อมองเห็นภาพเบื้องหน้าเขากลับลืมสิ้นถึงจุดมุ่งหมาย ลงมือกุลีกุจอช่วยเหลือผู้บาดเจ็บแม้ตนจะมิได้มีความรู้ด้านแพทยศาสตร์เลยแม้แต่น้อย เขาให้สารถีส่วนตัวไป Brescia เพื่อซื้อผ้าปูที่นอน ผ้าพันแผล อาหาร ผลไม้ และยาสูบสำหรับดับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ภายในโบสถ์ ช่วยล้างแผลและหาน้ำให้ทหารที่บาดเจ็บ เดินทางไปยังค่ายทหารให้ปล่อยเชลยที่เป็นแพทย์

ที่มา International Committee of the Red Cross
ความหดหู่ของสงครามแห่งโซลเฟริโน่เกิดจากความต้องการของฝรั่งเศสและพีทมอนต์ ที่ต้องการดินแดนตอนเหนือของอิตาลีเพื่อดำเนินแผนการรวบรวมอิตาลี ดินแดนอันเป็นจุดมุ่งหมายของเหล่าผู้นำผู้ทะเยอทะยานมานานหลายพันปี แต่ทว่าดินแดนแห่งนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรียตามสนธิสัญญากรุงเวียนนา เรื่องนี้เองเป็นแรงผลักดันให้อองรี ดูนังต์เลือกที่จะตีพิมพ์หนังสือ “A Memory of Solferino หรือ บันทึกความทรงจำใน Solferino” เพื่อบอกเล่าภาพอันน่าหดหู่เหล่านั้น ถึงแม้ว่าอองรีจะไม่ได้อยู่ในสมรภูมิตั้งแต่แรกแต่ภาพอันน่าหดหู่ที่บอกเล่าไปนี้ได้เป็นตัวจุดประกายให้เขาเลือกที่จะเรียกร้องข้อเสนอ 3 ประการถึงเหล่าผู้นำประเทศคือ 1. การยอมรับสถานะผู้บาดเจ็บของทหารที่ไม่อาจทำการสู้รบต่อ 2. การก่อตั้งหน่วยงานภายในประเทศในการช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ โดยมีการสนับสนุนจากนานาชาติ 3. อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองผู้บาดเจ็บและเคารพความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
มันเป็นสมรภูมิเลือดที่ไม่มีใครเคยพบเห็น สัมผัสได้ก็แต่เพียงเสียงอึกทึกและโหยหวนเท่านั้น
A Memory of Solferino
เพียงสามปีหลังหนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ ข้อเรียกร้องทั้งสามประการได้รับการตอบรับโดยบุคคลสำคัญ 4 คน ได้แก่ นายพลกีโยม ดูโฟว – นายทหารผู้เคารพหลักการมนุษยธรรม ผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์ของนโปเลียนที่ 3, กุสตาฟ มัวนิเย – นักกฎหมายผู้ได้รับการยกย่องในฐานะผู้วางรากฐานกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และศัลยแพทย์สองท่านคือ ธีโอดอร์ เมานัวร์ และ หลุยส์ อัปเปีย

ที่มา International Committee of the Red Cross
มิอาจใช้หลักการในยามสงบมาใช้ในยามสงครามได้
บุคคลทั้ง 5 นั้นได้ร่วมกันก่อตั้งองค์กรภาคเอกชนและประชาคมบรรเทาทุกข์ขึ้นในตอนนั้นเอง ธีโอดอร์ เมานัวร์ ผู้ที่มองดูเรื่องภาพลักษณ์ให้ได้รับการยอมรับและนโยบาย ได้เสนอให้มีการรับสมัครแพทย์อาสาอย่างเปิดกว้างไม่มีข้อจำกัดเรื่องชนชั้นเนื่องจากทหารในกองทัพมาจากทุกภาคส่วนของสังคม การทำงานขององค์กรจะต้องประกอบไปด้วยปัจจัยสามอย่าง 1. องค์กรจะต้องได้รับการยอมรับจากรัฐ 2. การทำหน้าที่ภาคสนาม จะต้องปฏิบัติตามกฎของกองทัพ 3. พยาบาลอาสาจะต้องอยู่หลังเส้นปะทะเพื่อไม่ให้กีดขวางการทำงานของกองทัพ ในขณะเดียวกันหลุยส์ อัปเปียเสนอให้แพทย์อาสาควรมีสัญลักษณ์ระบุตัวตนซึ่ง หลุยส์ อัปเปียเสนอให้ใช้ปลอกแขนสีขาวซึ่งผู้ก่อตั้งคนอื่นเสนอให้เพิ่มสัญลักษณ์กากบาทสีแดง ซึ่งต่อมาในกลุ่มประเทศอิสลามได้เพิ่มรูปจันทร์เสี้ยวสีแดงบนพื้นสีขาวเป็นสัญลักษณ์ประจำกาชาด ก่อนที่จะมีการเพิ่มรูปคริสตัลแดงบนพื้นขาวเป็นสัญลักษณ์เพื่อลดข้อขัดแย้งเรื่องสัญลักษณ์กาชาด

ที่มา : สำนักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย
อนุสัญญาเจนีวา 1949
อนุสัญญาเจนีวาคือคำสัญญาซึ่งคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากสงคราม เช่นพลเรือน หน่วยแพทย์ ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรบ รวมทั้งผู้ที่ไม่สามารถพร้อมรบได้เช่น ทหารผู้บาดเจ็บ ทหารเรืออับปาง เชลยศึก
อนุสัญญาเจนีวาถือเป็นแกนหลักสำคัญของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อันเป็นตัวบทกฎหมายระหว่างประเทศที่จำกัดวิธีการทำสงครามและการสู้รบ รวมทั้งยังมุ่งจำกัดผล กระทบของความขัดแย้งทางอาวุธอีกด้วยโดยอนุสัญญาประกอบด้วยอนุสัญญา 4 ฉบับ
ซึ่งสำนักงานยุวกาชาดได้สรุปใจความสำคัญของอนุสัญญาเจนีวาไว้ดังนี้
- ไม่ทอดทิ้งผู้บาดเจ็บ
- ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษา ผู้เสียชีวิตต้องถูกค้นหา
- พาหนะเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บต้องได้รับการคุ้มครอง
- โรงพยาบาลต้องไม่ถูกคุกคาม
- เชลยศึกต้องได้รับการปลดปล่อยและส่งกลับ
- ห้ามการปล้นสะดม
- หีบห่อยาและเวชภัณฑ์มีเส้นทางลำเลียงที่ปลอดภัย
- เป็นหลักของกฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ต่อมาได้มีการเพิ่มขยายกฎหมาย IHL หรือกฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เป็นการคุ้มครองพลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ความขัดแย้งภายในไม่ว่าจะเป็น สงครามกลางเมือง การขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
- จำกัดวิธีในการทำสงคราม
- แยกพลเรือนออกจากผู้ที่ทำการรบ เคารพชีวิตทหาร พลเรือน
- ห้ามทำลายสิ่งที่จำเป็นต่อความอยู่รอดของพลเรือน
- เคารพสัญลักษณ์กาชาด (หรือที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าห้ามทำร้ายบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ยิงหมอ)
- ห้ามทำร้ายคนที่วางอาวุธ
- ช่วยเหลือคนบาดเจ็บ รักษาพยาบาล
จากอุณาโลมแดงสู่สภากาชาดไทย
การเข้ามาของสภากาชาดไทยเริ่มขึ้นเมื่อ ความขัดแย้ง ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ที่ทหารสยามและฝรั่งเศสสู้รบกันซึ่งทหารไทยบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ภายใต้การนำโดยคุณผู้หญิง เปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ภริยาเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ได้ชักชวนบรรดาสตรีไทยช่วยกันเรี่ยไรเงินและสิ่งของ เพื่อส่งไปช่วยเหลือทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และมีความเห็นว่าควรจะมีองค์การใดองค์การหนึ่งช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของทหาร เช่นเดียวกับองค์การกาชาดของต่างประเทศ จึงได้นำความกราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และขอให้ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ในการจัดตั้งองค์การ เพื่อบรรเทาทุกข์ยากของทหาร ความรับรู้ถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงพระราชดำริว่า เป็นความคิดที่ต้องด้วยแบบอย่าง อารยประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง “สภาอุณาโลมแดง” ขึ้น เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2436 ต่อมาถือเป็นวันสถาปนาสภากาชาดไทย

ที่มา สภากาชาดไทย
จนกระทั่งหลัง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเถลิงราชสมบัติทรงมีพระราชดำรัสให้สร้างโรงพยาบาลขึ้นบนที่ดินส่วนพระองค์ชื่อว่า “โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์”
ในปี 2461 มีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยสภากาชาดสยาม มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยรักษาพยาบาลผู้ป่วยไข้และบาดเจ็บในสงครามและยามสงบ รวมทั้งทำการบรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์สาธารณภัยพินาศ โดยไม่เลือกเชื้อชาติ สัญชาติ ลัทธิ ศาสนา หรือความเห็นในทางการเมืองของผู้ประสบภัย ยึดหลักมนุษยธรรมเป็นที่ตั้ง และต่อมาในปี พ.ศ. 2463 ได้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยสภากาชาดสยามแก้ไขเพิ่มเติมจัดระเบียบสภากาชาดสยามเป็นสมาคมอิสระ ยังผลให้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศรับรองสภากาชาดสยามเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2463 และสันนิบาตสภากาชาดมีมติรับสภากาชาดสยามเป็นสมาชิกเมื่อปี พ.ศ. 2464 ต่อมาสภากาชาดสยามเปลี่ยนชื่อเป็นสภากาชาดไทยเมื่อปี พ.ศ. 2482
หลักการกาชาด 7 ประการ
หลักการกาชาดถือเป็นหลักปฎิบัติงานสำคัญของสภากาชาดในทุก ๆ ประเทศ
- มนุษยธรรม
- ความไม่ลำเอียง
- เป็นกลาง
- เป็นอิสระ
- บริการอาสาสมัคร
- ความเป็นเอกภาพ
- ความเป็นสากล
อ้างอิง
อนุสัญญาเจนีวา 1949 – คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ | คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (icrc.org)
อนุสัญญาเจนีวา คำมั่นสัญญาแห่งสนามรบที่เป็นคำมั่นสำคัญในระดับโลก!!!! (innnews.co.th)
อ็องรี ดูว์น็อง – วิกิพีเดีย (wikipedia.org)
เครื่องหมายกาชาด – สำนักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย (redcross.or.th)