จากการศึกษาครั้งใหม่ของการระเบิดที่มีชื่อเสียงที่สุดในจักรวาลอย่าง ซุปเปอร์โนวา Cassiopeia A ได้เผยให้เห็นความไม่สมดุลที่น่าสงสัย
Cassiopeia A เป็นเศษซากซุปเปอร์โนวาที่เหลืออยู่ในกลุ่มดาวค้างคาวหรือกลุ่มดาวแคสสิโอเปีย นับเป็นหนึ่งในวัตถุที่มีชื่อเสียงและได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดีในทางช้างเผือก เราเชื่อกันว่าซุปเปอร์โนวา Cassiopeia A ถูกค้นพบครั้งแรกในปีค.ศ. 1670 ทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวเป็นอย่างมากและนักดาราศาสตร์ก็ได้ศึกษาเศษซากส่วนที่เหลือตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นับเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในการศึกษาวิวัฒนาการของซุปเปอร์โนวา
Cassiopeia A เปล่งแสงออกมาหลายช่วงความยาวคลื่น ประกอบด้วยเปลือกทรงกลมขนาดใหญ่ของสสารที่ขยายตัว ซึ่งน่าจะถูกปล่อยออกมาตอนที่ดาวฤกษ์เริ่มไม่เสถียร ก่อนจะระเบิดเป็นซุปเปอร์โนวา โดยมีการขยายตัวในอัตราเฉลี่ยระหว่าง 4,000 ถึง 6,000 กิโลเมตรต่อวินาที
แต่จากการศึกษาครั้งใหม่พบว่ามีบางอย่างทำให้ส่วนของเมฆเคลื่อนที่เข้ามาด้านใน ย้อนสวนทางไปยังแหล่งกำเนิดของการระเบิดแทนที่จะเคลื่อนที่ออกจากแหล่งกำเนิดไปด้านนอกพร้อมกับเศษซากที่เหลือ
Jacco Vink นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมในเนเธอร์แลนด์ได้ศึกษาข้อมูลเอ็กซ์เรย์จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา เพื่อรวบรวมว่าสิ่งที่เหลืออยู่จากการระเบิดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาพบว่าส่วนหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของเปลือกหุ้มกำลังเคลื่อนที่กลับเข้าด้านในสู่ศูนย์กลางด้วยความเร็วระหว่าง 3,000 ถึง 8,000 กิโลเมตรต่อวินาที
นอกจากนั้นพวกเขายังพบว่าคลื่นกระแทกด้านนอกของส่วนเดียวกันของเปลือกกำลังเร่งขึ้น โดยแบบจำลองคอมพิวเตอร์ของคลื่นกระแทกที่กำลังขยายตัวได้อธิบายความไม่สมดุลนี้ว่าเกิดจากการชนกับบางสิ่ง ซึ่งจะทำให้ shock front คลื่นกระแทกด้านหน้าช้าลงในขั้นต้น จากนั้นจึงเร่งความเร็ว
คำถามคือแล้วคลื่นกระแทกสามารถชนกับอะไรได้บ้าง?
เราทราบจากซากซุปเปอร์โนวาอื่นๆ ว่าสสารในอวกาศรอบดาวฤกษ์สามารถสร้างแรงกระแทกย้อนกลับได้ ในบริเวณที่มีความหนาแน่นของก๊าซและฝุ่นในอวกาศ ในกรณีของ Cassiopeia A พื้นที่ที่หนาแน่นไปด้วยเศษซากที่ปล่อยออกมาจากดาวที่กำลังจะตายสามารถสร้างเปลือกบางส่วนเพื่อให้ส่วนที่เหลือกระแทกเข้าไปในขณะที่มันขยายออกด้านนอกได้
อ้างอิง
https://www.sciencealert.com/the-inner-eruption-of-a-famous-supernova-has-collided-with-something