ยุคนี้เป็นยุคที่ Pop Culture มากมายในสังคม ต่างมีต้นกำเนิดมาจาก Sci-fi ทั้งหนัง Star Wars, Back to the Future, Frankenstein, และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างจินตนาการหน้าตาฉูดฉาดแบบที่เราหลงรัก และความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ทั้งน่าทึ่งพร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการต่อยอดหาความรู้ในเวลาเดียวกัน
บางครั้งดูหนังอวกาศก็เกิดคำถามได้ว่า เราได้ยินเสียงในอวกาศจริงไหม การเดินทางไปกาแล็กซี่ที่ใกล้เราที่สุดมีความเป็นไปได้แค่ไหน หรือแม้แต่คำถามง่าย ๆ ว่ายานอวกาศบินได้ยังไง ซึ่งหนังหรือนิยาย Sci-fi อื่น ๆ ก็ก่อให้เกิดคำถาม และแรงบันดาลใจ ที่ช่วยต่อยอดความรู้ให้มากขึ้นได้เช่นกัน
แต่ความจริงแล้ว คำว่า Sci-fi สามารถนิยามได้ง่ายดายมากกว่านั้น ถ้าเกิดว่าคุณผู้อ่านอยากจะลองแต่งหนังสือนิยายสักเล่ม หรือเรื่องสั้นสักเรื่อง โดยอาศัยเนื้อหาหลักเป็นแนว Sci-fi เราได้ลองพูดคุยกับนักเขียนมือรางวัล ที่ส่งผลงานการเขียนทั้งเรื่องสั้นและนิยาย Sci-fi ในการประกวดงานต่าง ๆ มาแล้วจริง ๆ คนที่เรากำลังจะพูดถึงบางทีก็รู้จักกันในนามปากกาว่า “นายพินต้า” แต่ชื่อจริง ๆ ของเขาคือ กิตติศักดิ์ คงคา หรือคุณเบสนั่นเอง

คำว่า Sci-fi ในมุมมองเบสคืออะไร
สำหรับเรานะ งาน Sci-fi คืองานที่มีองค์ประกอบความเป็นวิทยาศาสตร์ส่งผลต่อเส้นเรื่อง จะน้อยก็ได้ หรือจะมากก็ได้ ถ้าน้อยหน่อยเรียกว่า Soft Sci-fi เป็นแนวนักสืบอะไรแบบนี้ แล้วคุณต้องใช้วิธีการทางเคมี หรือวิธีการทางฟิสิกส์มาใช้ในการตอบปัญหา
ตัวอย่างที่น่าสนใจของแนว Soft Sci-fi คือผลงานของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ (Higashino Keigo) เช่น กาลิเลโอไขคดีสืบวิญญาณ ซึ่งมันมีความเป็นฟิสิกส์นะ แต่คนอ่านไม่ได้รู้สึกว่าเป็นวิทยาศาสตร์หนักสมองเกินไป ส่วนหนึ่งเพราะมันไม่ได้เป็นโลกที่มีหลักการใหม่ มันเป็นโลกมนุษย์นี่แหละ ที่วิทยาศาสตร์ส่งผลสำคัญต่อเส้นเรื่อง
ถ้าเป็นเรื่องราวที่เป็น Sci-fi มากหน่อยก็จะเรียกว่า Hard Sci-fi คือวิทยาศาสตร์มีผลต่อเส้นเรื่องตลอดทั้งเส้นเลย
สำหรับเราคำว่า Soft หรือ Hard มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า วิทยาศาสตร์ที่ใส่มามันยากแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่ามันมีผลต่อเส้นเรื่องมากขนาดไหนต่างหาก ถึงนักเขียนจะใส่ความเป็นวิทยาศาสตร์ก็จริง เช่น พระเอกเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ แต่ถ้าเส้นเรื่องทั้งหมดมีแต่เรื่องราวความรักโรแมนติก ไม่ได้ใช้วิทยาศาสตร์อยู่ในเส้นเรื่องหลัก แบบนี้เราไม่นับเป็น Sci-fi เพราะมันไม่ได้ใช้องค์ประกอบความเป็นวิทยาศาสตร์ในการเล่าเรื่องจริง ๆ

วิทยาศาสตร์คือความสมจริง แล้วความสมจริงสำคัญมากแค่ไหน
Sci-fi มันคือการจินตนาการวิทยาศาสตร์ในแบบที่นักเขียนคิดว่ามันเป็น ซึ่งคำว่าสมจริงหรือไม่สมจริง สำหรับเรามันเป็นเรื่องที่ตอบยาก เพราะวิทยาศาสตร์ที่เราจับต้องได้ทุกวันนี้เราก็ไม่รู้ว่ามันสมจริงหรือเปล่า สักวันหนึ่งมันอาจจะถูกหักล้างได้เสมอ
วิชากลศาสตร์ที่เคยเป็นฟิสิกส์กระแสหลัก ยังสั่นคลอนได้เมื่อมีทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปร้อยกว่าปีก่อน ทฤษฎีควอนตัมอาจจะเป็นแค่เรื่องในจินตนาการสำหรับ Sci-fi ก็ได้ ฉะนั้นเรารู้สึกว่าเนื้อหาในหนังสือ Sci-fi มันอาจจะไม่ได้เป็นชุดความจริงเดียวกับที่เราเข้าใจในปัจจุบันก็ได้ แต่มันเป็นชุดความจริงที่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์บางอย่างในเรื่อง ซึ่งในทฤษฎีเหล่านั้นอาจถูกพิสูจน์ภายหลังว่าเป็นความจริงหรือไม่จริงก็ได้
ยกตัวอย่างพล็อตวิทยาศาสตร์ เช่น การย้อนเวลา นวนิยายวิทยาศาสตร์ใช้พล็อตย้อนเวลากันเยอะมาก ซึ่งในปัจจุบัน เราก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าการย้อนเวลาที่เกิดขึ้นในหนังหรือในหนังสือมันสมจริงหรือไม่สมจริง เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์เรายังไปไม่ถึงว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า
หรือถ้าเป็นพล็อตที่พูดถึงดาวดวงหนึ่งที่มีแรงโน้มถ่วงย้อนกลับขึ้นด้านบน จนคนหลุดลอยออกไปในอวกาศ ต้องผูกโซ่ล่ามไว้กับพื้นดิน มันอาจจะเป็นชุดความจริงที่ไม่ถูกต้องสำหรับที่นี่ หรือสำหรับดวงดาวที่เรารู้จัก แต่มันอาจจะมีดาวบางดวงที่มีชุดความจริงหรือชุดความเชื่อแบบนี้ก็ได้ ฉะนั้นคนเขียนต้องบอกให้ได้ว่า แรงที่มันดันขึ้นข้างบน มันดันด้วยหลักการอะไร มีอะไรมาดึงดูดมัน ถ้าเกิดว่ามีคำอธิบายด้วยวิธีคิดทางวิทยาศาสตร์ได้ สำหรับเรามันก็เป็น Sci-fi เหมือนกัน
ทำไมชอบใส่ความเป็น Sci-fi ในผลงานเขียนของตัวเอง
เราเป็นคนที่เรียนวิทยาศาสตร์ เพราะเราจบเภสัชศาสตร์มา พอมาเขียนนิยาย ต่อให้เป็นเรื่องแรก ๆ หรือเรื่องหลัง ๆ บางทีมันจะมีองค์ประกอบความเป็น Sci-fi อยู่ มันอาจจะไม่ได้เป็น Sci-fi ชัด ๆ แต่ทุกเรื่องแทบจะออกมาเป็น Soft Sci-fi หมดเลย แทบไม่มีเรื่องไหนที่เล่าเรื่องแบบธรรมดาโดยไม่มีองค์ประกอบความเป็นวิทยาศาสตร์ อาจเพราะเราเป็นคนเนิร์ดมั้ง ชอบใส่วิชาการลงไปในผลงาน ชอบใส่หลักคิดลงไปในเรื่อง
อย่างงานเขียนเรื่องแรกมีตัวละครก็ให้เป็นหมอ วิธีการคิดก็จะมีเรื่องการแพทย์ เรื่องการเจ็บป่วย หรือการรักษาพยาบาลอย่างการผ่าตัดอะไรแบบนี้อยู่ตลอด ส่วนงานเขียนเรื่องที่สองพูดถึงเรื่องพลังของความจริงในจินตนาการ (imagined reality) ซึ่งมันเป็นเรื่องราวของมนุษย์ Homo sapiens ที่ใช้ชุดความเชื่อเดียวกัน จนเกิดการร่วมมือกัน เราก็ใส่ลงไปในเรื่อง มันเป็นเหมือนลายเซ็นของเราเลย ที่จะใส่อะไรเนิร์ด ๆ ลงไป บางเรื่องอาจจะไม่เป็นแนววิทยาศาสตร์ก็จะเป็นแนว เศรษฐศาสตร์ หรือกฎหมายบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นวิทยาศาสตร์หนักที่สุด ก็เลยชอบเขียนงานแนวนี้เป็นพิเศษ

โดยเฉพาะงานวรรณกรรม เรายิ่งถนัดงาน Sci-fi เพราะว่าคนเขียนวรรณกรรมส่วนใหญ่จะเขียนแนวเพื่อชีวิต เท่าที่เคยอ่านจะเป็นแนวลูกอีสาน ชนบท สะท้อนสังคม ซึ่งเราไม่มีองค์ประกอบเหล่านั้นเลย เราเป็นเด็กที่อยู่ต่างจังหวัดมาก่อนก็จริง แต่เราเติบโตมาแบบใกล้กรุงเทพมาก แล้วครอบครัวเราเป็นชีวิตชนชั้นกลางทั่วไปที่ไม่ได้ลำบาก เวลาเขียนเรื่องที่สะท้อนสังคมมันดูปลอม เวลาเราอยากเล่าอะไรสักอย่างเลยเลือกที่จะไม่เล่าตรง ๆ แต่นำองค์ประกอบของ Sci-fi สร้างโลกในจินตนาการขึ้นมาอีกใบ เรารู้สึกว่าเราทำมันได้สมจริง และทำให้คนอินกับเรื่องเล่าได้มากกว่าการเล่าด้วยวิธีการทางวรรณกรรมตามขนบที่เน้นการสะท้อนสังคมตรง ๆ เพราะเราไม่มีประสบการณ์ร่วมตรงนั้นแบบคนอื่น
ถ้าเราทำตรงนั้นออกมาได้ไม่ดี เราทำแนวที่เข้ามือเราที่สุดอย่าง Sci-fi เลยเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
หรือแม้แต่หนังสือ “หนึ่งนับวันนิรันดร” ก็เขียนเกี่ยวกับเรื่องการข้ามเวลา แล้วพูดถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ กับสัมพัทธภาพทั่วไป เพราะเรารู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มันน่าสนใจดี แล้วเราอยากจะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้คนรู้และเข้าใจมันมากยิ่งขึ้น เลยเอาองค์ประกอบพวกนี้ใส่ลงไปในนิยาย ซึ่งคุณจะอ่านเอาความบันเทิงจากนิยายก็ได้ หรือจะอ่านเอาสาระวิทยาศาสตร์ก็ได้ ส่วนเรื่องต่อ ๆ มาก็มีแนวนักสืบ ซึ่งนักสืบก็มีองค์ประกอบเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา
ฉะนั้น Sci-fi สำหรับเราแค่สอดแทรกองค์ประกอบทางวิทยาศาสตร์เข้าไป จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเรื่อง และมันไม่ต้องเป็น Hard Sci-fi แบบโลกดิสโทเปีย ก็เป็น Sci-fi ที่สนุกเหมือนกัน
ทำไมถึงชอบส่งผลงานเขียนไปประกวด
เพราะมันสนุก สำหรับเรามันเป็นความชอบส่วนตัว เหมือนคนอื่นชอบดู YouTube เราก็ชอบประกวดวรรณกรรมเท่านั้นเอง มันอาจเคยเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ในช่วงหนึ่งของชีวิต แต่พอวันหนึ่ง การประกวดมันกลายเป็นเรื่องที่สนุกดีสำหรับเรา บางครั้งเรามีเรื่องที่อยากเขียนอยู่แล้ว เราก็เขียนแล้วส่งประกวดด้วยมันก็ไม่ได้เสียหาย ได้รางวัลก็สนุก ไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็นไร เพราะหนังสือที่อยากเขียนก็เสร็จพอดี ซึ่งความสนุกของการประกวดมันอยู่ที่การตีโจทย์ ความท้าทาย และความเนี้ยบในการทำงาน เพราะงานเขียนนี้ไม่ได้ขายแค่นักอ่านทั่วไป แต่ขายกรรมการซึ่งเป็นกลุ่มนักอ่านมืออาชีพที่เก่งมาก ๆ เพราะฉะนั้นการทำงานประกวดต้องมีมาตรฐานที่ทำให้นักอ่านกลุ่มนี้รู้สึกว่ามันมีคุณค่ามากพอ
ผลงานบางชิ้นที่คิดว่าดีมากเลย แต่มีคนมองว่ามันไม่ได้ดีก็เป็นเรื่องธรรมดามาก งานบางชิ้นของเรา เช่น หนึ่งนับวันนิรันดร ที่เขียนมาแล้วได้รางวัลชนะเลิศ Major Writer Contest และได้รองชนะเลิศ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ก็เคยตกรอบบางเวทีมา แล้วไม่ได้แม้กระทั่งรางวัลชมเชย คือตกรอบแบบหลุดไปเลย เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ เข้าใจว่าแต่ละคนมีมาตรฐานหรือความต้องการของแต่ละเวทีไม่เหมือนกัน เราเคยมีงานหนึ่งที่ประกวดในไทยไม่เคยได้รางวัลอะไรเลย แต่พอไปประกวดต่างประเทศเราได้รางวัลระดับบนานาชาติกลับมามันก็มี ดังนั้นเราจะพูดเสมอว่าการประกวดไม่ใช่ไม้บรรทัด การประกวดคือรสนิยม สุดท้ายการประกวดคือการทำให้นักอ่านมีคุณวุฒิกลุ่มหนึ่งอ่าน แล้วตัดสินว่าเขาชอบเรื่องไหนมากที่สุด

เราเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า The Science of Success มันเล่าว่าที่จริงแล้วสิ่งที่เป็นศิลปะชั้นสูง เช่น รสชาติไวน์ ความไพเราะของดนตรี ความสวยงามของภาพวาด หรืองานเขียน มันจะวัดระดับความดีงามได้แค่ประมาณ 7 เต็ม 10 เราสามารถแยกงานที่มีระดับตั้งแต่ 0, 5, หรือ 7 ออกจากกันได้ แต่ถ้าเลยระดับ 7 ขึ้นไป มันไม่ใช่พื้นที่สำหรับมนุษย์แล้ว ไม่มีใครแยกออกชัด ๆ เคยมีการทดลอง พานักชิมไวน์ระดับโลกมาแยกแยะไวน์ ก็ไม่สามารถแยกความดีงามของไวน์ที่บ่มไว้หลายสิบปีกับไวน์ไม่กี่ปีที่ทำมาอย่างดีได้ หรืองานประกวดศิลปะอื่น ๆ ถ้าทำการถอดชื่อศิลปินนักาดออกแล้วให้ตัดสินจากตัวภาพวาดเท่านั้น งานที่มีคุณภาพสูงระดับหนึ่งก็ทำให้กรรมการตัดสินไม่ออกอยู่ดี เพราะพื้นที่เหนือระดับ 7 เต็ม 10 ขึ้นไปเป็นเรื่องของรสนิยมแล้ว ถ้างานทุกคนผ่านมาตรฐาน เขียนเป็น เล่าเรื่องเป็น พล็อตมีเหตุผล อ่านแล้วไม่น่าเบื่อ สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่ที่ว่ากรรมการชอบแนวไหน
ถ้าอยู่ในวงการนักเขียนประกวดต้องเข้าใจว่ากรรมการก็เป็นนักอ่าน นักอ่านทั่วไปก็เป็นนักอ่าน ต่อให้งานบางชิ้นเราชอบมันมาก ๆ แต่มันไม่ทำงานกับนักอ่าน อาจจะขายไม่ได้ ไม่มีคนพูดถึง หรือถูกพูดถึงในแง่ลบ ต้องตั้งคำถามว่ามาตรวัดความชอบสำหรับเรามันดีพอหรือยัง ถ้าคิดว่ามันดีพอแล้วก็แค่ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ผลงานทุกชิ้นจะประสบความสำเร็จ เรื่องนี้คนที่เป็น Content Creator เข้าใจดี บางครั้งเขียนบทความแทบตาย คิดว่ามันโคตรดี แต่กลับไม่มีกระแสตอบรับกลับมาเลย คำถามคือเรารู้ใช่ไหมว่ามันดี ถ้าเรารู้ว่ามันดี เราไม่จำเป็นต้องวิ่งตามยอดไลก์หรือยอดแชร์ มันเป็นสิ่งที่อัลกอริทึมทำงาน เป็นสิ่งที่เราวัดคุณภาพจริง ๆ ไม่ได้ ถ้าเราคิดว่าบทความแบบไหนดีก็ทำ แบบไหนไม่ดีก็ไม่ทำ เราจะยืนหยัดในระยะยาวได้มากกว่า ดีกว่าการเป็นนักเขียนที่เปลี่ยนตามเสียงคนอื่นไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
แล้วเรื่องการประกวดงานเขียน เราว่ามันสำคัญสำหรับนักเขียนในแง่หนึ่งคือ ประเทศนี้วงการไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าคุณอยากมีชื่อเสียง การประกวดอาจช่วยตอบโจทย์คุณได้ ยกตัวอย่างนักเขียนที่ดังจากการประกวด เช่น ปราปต์ ก็มาจากการเขียน “กาหลมหรทึก” และได้รับรางวัลนายอินทร์อวอร์ดมา วีระพร นิตาประภา ก็โด่งดังมาจาก “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” ที่ได้รางวัลซีไรต์เล่มแรก หรือจิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท ก็มาจากสายประกวดเช่นกัน การประกวดจึงช่วยแนะนำตัวนักเขียนไปสู่นักอ่านได้เร็วที่สุด แล้วหลังจากประกวดแล้วจะอยู่ได้หรือไม่ได้ ขึ้นกับตัวนักเขียนเอง แต่ถ้านักเขียนมีวิธีการอื่นในการแนะนำตัวเองสู่ผู้อ่าน การประกวดก็อาจจะไม่ใช่คำตอบเสมอไป เพราะมีนักเขียนมือรางวัลจำนวนมากที่ไม่ได้ทำงานเชิงประกวดต่อแล้วไปทำอย่างอื่น มันมีให้เห็นหลายรูปแบบ

มีกระบวนการค้นคว้าข้อมูลวิทยาศาสตร์เพื่อเขียนหนังสืออย่างไร
ต้องเริ่มจากการที่ชอบเรื่องนั้นก่อน เราเป็นคนที่ชอบฟังอะไรเนิร์ด ๆ อยู่แล้ว ตามอ่านเพจวิทยาศาสตร์เนิร์ด ๆ อยู่แล้ว เวลาเจอประเด็นที่น่าสนใจแล้ว บางทีมันสามารถเทียบประเด็นนี้ให้เกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมได้ ยกตัวอย่างเช่น อนุกรมฟูเรียร์ (Fourier Series) เป็นอนุกรมทางคณิตศาสตร์อันหนึ่งที่เราอ่านเจอ ซึ่งมันอธิบายด้วยแนวคิดที่ง่ายมากคือ ไม่ว่าสมการอะไรที่หาอนุพันธ์ได้ (differentiate) แปลว่าสมการนั้นต้องเขียนกระจายอยู่ในรูปตรีโกณมิติหลาย ๆ สมการได้
มันทำให้เราสนใจว่าที่จริงแล้วชุดความเชื่อบางอย่างที่เรามองว่ามันไม่มีรูปแบบอะไร มีคนที่สามารถหาอนุกรมบางอย่างมาอธิบายกราฟที่ไร้รูปแบบนี้แล้วแตกเป็นสมการย่อย ๆ ได้ เราเลยคิดถึงแนวคิดที่ว่า ความยุ่งเหยิงของโลกมนุษย์หรือพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ จริง ๆ แล้วอาจจะมีเงื่อนไขบางอย่างในสิ่งเหล่านี้ที่อธิบายร่วมกันได้
มันเกิดจากการที่เราชอบทฤษฎีนั่นนี่มาก่อน แล้วค่อยเอามันไปต่อยอดไปในทิศทางต่าง ๆ เอาไปเกี่ยวข้องกับตัวละครจะเกี่ยวข้องในแง่ไหนได้บ้าง มันก็เลยพัฒนาต่อไปเป็นเรื่องของพล็อต พอได้พล็อตเสร็จแล้วเราอยากเล่าเรื่องทฤษฎีนี้ค่อยกลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่ารายละเอียดมันมีอะไรบ้าง อย่างตอนเขียนหนังสือหนึ่งนับวันนิรันดร ที่พูดถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพ เราต้องไปนั่งอ่าน “ประวัติย่อของกาลเวลา” (A Brief History of Time) ที่เขียนโดย สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) และหนังสือเล่มอื่น ๆ เราอ่านเยอะมากหลายสิบเล่มเพื่อนำองค์ประกอบมาใช้นิดเดียว
นิดเดียวจริง ๆ แต่ก็ต้องหาข้อมูลอยู่ดี
สุดท้ายพอเรารู้เยอะมาก ๆ เราจะเสียดาย แต่หน้าที่ของนักเขียน เราต้องรู้ว่าสิ่งที่คนอยากมาอ่าน เขาไม่ได้อยากอ่านเรื่องเหล่านี้ เขาหยิบหยังสือนิยายขึ้นมาเพื่อที่จะอ่านความบันเทิงจากนิยาย ถ้าเขาอยากอ่านวิทยาศาสตร์คงเลือกหยิบ non-fiction ตั้งแต่แรก
ถ้าเขาเลือกหยิบนิยายของเราขึ้นมาอ่าน เนื้อหานิยายจะต้องนำ แต่จะมีประเด็นวิทยาศาสตร์ที่ถูกสกัดออกมาเล็กน้อย แต่ใช้ให้เกิดประโยชน์สำคัญอยู่ในเนื้อเรื่อง เพื่อให้เห็นภาพ สมมุติว่าเรายิงกระสุน 100 นัดแล้วมันเข้าเป้า มันไม่เท่เท่ายิ่งนัดเดียวแล้วเข้าเป้า มันคมกว่า เราต้องขัดเกลาจนเจอความแม่นยำตรงนั้นให้ได้
นี่เป็นหลักการคิด มันมาจากทฤษฎีตั้งต้น เกิดเป็นไอเดีย มาเจอพล็อต ย้อนกลับไปหาข้อมูลใหม่ แล้วสกัดมาให้เล็กน้อยที่สุด

ถ้าประเทศนี้มีผลงาน Sci-fi เยอะขึ้นจะดีไหม
ไม่แน่ใจว่ามันถูกให้คุณค่ามากเกินเหตุไหมนะ แต่งานเขียนเชิงสืบสวนสอบสวนและ Sci-fi มันเป็นหนังสือแนวที่มีคนเชื่อว่าอ่านแล้วฉลาดขึ้น อาจเพราะมันทำให้คนใช้ตรรกะคิดมากกว่างานเขียนแนวอื่น มันเป็นงานเขียนที่เอื้อให้คุณต้องคิด เขาเชื่อกันว่าประเทศที่มีอาชญนิยายหรือนิยายวิทยาศาสตร์เยอะ ๆ คนในประเทศมักจะฉลาด เพราะประชาชนชอบอ่านอะไรที่มันต้องใช้สมอง ดังนั้นถ้าถามเราว่าดีไหม มันก็ดีอยู่แล้วแหละ
นอกจากทำให้ฉลาด การมีอาชญนิยายหรือนิยายวิทยาศาสตร์มากขึ้น มันทำให้มีทางเลือกสำหรับคนที่อยากอ่าน มี Pop Culture ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพื่อให้คนรู้สึกเห็นภาพความสนุกของวิทยาศาสตร์มากกว่าการอยู่ในตำรา ซึ่งต้องยอมรับว่านักเขียนในดวงใจคนหนึ่งของเราคือ เคน หลิว (Ken Liu) เขาเขียน “สวนสัตว์กระดาษ” ซึ่งเป็นงานรวมเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ที่ดีและสนุกมาก มันทำให้เราเห็นว่าคนที่เขียนงาน Sci-fi เก่ง ๆ เขาเก่งได้ขนาดไหน ดีได้ขนาดไหน
ในประเทศไทย งานเขียนเชิง Sci-fi น้อยมาก แล้วงาน Sci-fi เท่าที่มีก็ต้องไปเป็นแบบกึ่ง Fantasy ต้องเป็นต่างดาวบ้าง โลกอนาคตบ้าง ดิสโทเปียไปเลย สร้างโลกใหม่ไปเลย ซึ่งสำหรับเราที่เป็นคนชอบอ่าน Sci-fi ในแบบที่ไม่ได้แตะ Fantasy ไกลขนาดนั้น เราว่ามันไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่ เราชอบแบบที่มีความเป็นมนุษย์บางอย่าง เรารู้สึกว่ามันสนุกดี
อยากแนะนำอะไรนักเขียนหน้าใหม่
อย่าพยายามเป็น Sci-fi ตั้งแต่วันแรก พยายามเป็นนักเขียนให้ได้ก่อน
หมายถึงว่าจะเขียนอะไรก็ได้ เล่าให้มันสนุกก่อน ไม่ต้องแปะป้ายว่าจะเขียนแนวอะไร คุณแค่เล่าเรื่องที่คุณอยากเล่า เพียงแต่คุณต้องมี mindset การทำให้งานเขียนมันต้องสนุก เพราะคนอ่านร้อยทั้งร้อยเขาอยากอ่านหนังสือที่มันสนุก จะได้สาระไหมเป็นอีกเรื่อง แต่มันต้องเริ่มจากสนุกก่อน ดังนั้นถ้าเรายึกตัวคนอ่านเป็นศูนย์กลางก่อน ทำให้เขาสนุกได้ก่อน แล้วเราค่อยเติมสิ่งที่อยากเล่าอย่างทฤษฎีวิทยาศาสตร์ลงไปทีหลัง แต่ถ้าเราอยากปีบันไดเขียนท่ายากตั้งแต่วันแรกแล้วมันอ่านไม่สนุก แปลว่าคุณผ่านด่านแรกยังไม่ได้ด้วยซ้ำ คุณก็จะไปได้ไม่ถึงไหน
ดังนั้นถ้าเราตั้งใจว่าเราจะเป็นนักเขียน เราต้องเริ่มลงมือเขียนอะไรก็ได้ และทำให้สนุก แต่ถ้าพยายามจะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ ท่าแรกยังไม่เก่งเราอาจไปทำท่ายากซะแล้ว มันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จแล้วเกิดความท้อแท้ได้ง่าย ๆ
