‘ฝีดาษลิง’ หรือ ‘Monkeypox’ คือโรคประจำถิ่นซึ่งปกติพบการระบาดที่แอฟริกา แต่ทว่าในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มีการพบการระบาดนอกพื้นที่แอฟริกาเช่น ยุโรป และอเมริกา ซึ่งองค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) ได้ประกาศเฝ้าระวังการระบาดและออกมาเตือนประชาชนเพื่อไม่ให้การระบาดเกินการควบคุม
ไม่ได้เริ่มที่ลิง
‘โรคฝีดาษลิง’ เกิดจากเชื้อไวรัส Orthopoxvirus ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันกับ ‘ฝีดาษคน’ และ ‘ฝีดาษวัว’ โดยพบการระบาดที่ภูมิภาคแอฟริกาเป็นหลัก
โดย Orthopoxvirus นี้ใช้ DNA เป็นสารพันธุกรรม ทำให้พวกมันมีความหลากหลายที่ต่ำ เนื่องจากกลายพันธุ์ได้ยาก (เพราะงั้นเราไม่ต้องกังวลว่าจะมีเชื้อกลายพันธุ์มาบ่อย ๆ เหมือนเชื้อโควิดที่ใช้ RNA เป็นสารพันธุกรรม)
ถึงแม้ว่าโรคนี้จะมีชื่อว่าฝีดาษ ‘ลิง’ แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นพาหะนำโรคจริง ๆ กลับไม่ใช่ลิงตามชื่อ แต่เป็น ‘สัตว์ฟันแทะ’ จำพวก ‘หนู’ ต่างหาก แต่ที่ได้รับชื่อว่าฝีดาษลิง ไม่ใช่ฝีดาษหนูนั้นเป็นเพราะว่ามีการค้นพบโรคครั้งแรกเมื่อค.ศ. 1958 ในลิง โดยมีการพบการระบาดในคนที่ประเทศคองโกเมื่อปี 1970 และต่อมาพบการระบาดนอกพื้นที่แอฟริกาครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2003 โดยเชื้อมากับสัตว์นำเข้าจากแอฟริกาซึ่งไปติด ‘หนูแพรี่’ ในร้านขายสัตว์เลี้ยง
อาการของโรค
อาการฝีดาษลิงต่างจากโรคฝีดาษทั่วไป โดยมีอาการที่สังเกตได้ คือ หลังจากที่สัมผัสเชื้อไปแล้วประมาณ 12 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการ 2 ช่วงดังนี้
- ระยะก่อนออกผื่น (Invasion phase)
- เริ่มด้วยมีไข้ ปวดหัว ปวดตัว ปวดหลัง อ่อนเพลีย และต่อมน้ำเหลืองโต
- โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการต่อมน้ำเหลืองโต เป็นอาการที่สังเกตได้ของโรคฝีดาษลิง ซึ่งแตกต่างจากโรคอื่น ๆ ที่มีตุ่มน้ำตามมา เช่น โรคอีสุกอีใส (Chickenpox) , โรคหัด (Measles) , โรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ (Smallpox)
- อาจมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ท้องเสีย อาเจียน และอาการทางระบบหายใจ เช่น เจ็บคอ ไอ เหนื่อย ได้อีกด้วย
- ระยะออกผื่น (Skin eruption phase)
- หลังจากมีไข้ประมาณ 1-3 วัน จะเริ่มมีอาการแสดงทางผิวหนัง มีลักษณะตุ่มผื่นขึ้น โดยเป็นตุ่มที่มีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ โดยเริ่มจากรอยแดงจุด ๆ เป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มน้ำใส ตุ่มน้ำหนอง และจากนั้นจะแห้งออกหรือแตกออกแล้วหลุด เรียงไปตามลำดับ
- โดยตุ่มมักจะหนาแน่นที่บริเวณใบหน้า และแขนขา มากกว่าที่ร่างกาย
- ในระยะออกผื่น ผื่นจะกลายเป็นสะเก็ดคลุม แห้งและหลุดออกมา โดยใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์
- โดยทั่วไปแล้ว อาการป่วยจะกินเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ ส่วนใหญ่สามารถหายจากโรคเองได้ แต่ในกรณีผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีโรคประจำตัว อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หรือเสียชีวิตได้
การติดต่อจากสัตว์สู่คน
โรคฝีดาษลิงสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้จากการสัมผัสใกล้ชิด โดยผ่านการสัมผัสทางผิวหนังกับผู้ติดเชื้อโดยตรง หรือสัมผัสวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสชนิดนี้ ถึงแม้ว่าโอกาสติดสู่คนจะน้อย แต่ผู้ป่วยมีอัตราการเสียชีวิต 1 – 10 % โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
วิธีการรักษา
ในปัจจุบันไม่มียารักษาสำหรับฝีดาษลิงโดยเฉพาะ มีเพียงยาต้านไวรัสเช่น ยา Cidofovir ซึ่งมีผลข้างเคียงต่อไต และยา Tecovirimat (TPOXX) ซึ่งเป็นยารักษาโรคฝีดาษ สำหรับวัคซีนนั้น มีการพัฒนาวัคซีนสำหรับฝีดาษลิง (Ankara) ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าวัคซีนฝีดาษคน
วิธีป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่วย สัตว์ที่เป็นพาหะโดยเฉพาะลิง และสัตว์ฟันแทะ
- หมั่นล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังสัมผัสสัตว์ หรือสิ่งของสาธารณะ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง บาดแผล เลือด น้ำเหลืองของสัตว์
- ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อต้องเดินทางไปยังสถานที่เสี่ยงมีการแพร่ระบาด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง แผล ตุ่มหนอง หรือตุ่มน้ำใส จากผู้มีประวัติเสี่ยง หรือสงสัยว่าติดเชื้อ กรณีที่สัมผัสเชื้อไปแล้ว ควรฉีดวัคซีนป้องกันในกรณีที่ยังไม่เกิน 14 วัน
อ้างอิง
Centers for Disease Control and Prevention (CDC) | Monkeypox
World Health Organization (WHO) | Multi-country monkeypox outbreak in non-endemic countries
Ars Technica | Everything CDC wants you to know about monkeypox and the current risk level